ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโฟโตไดโอดและโฟโตทรานซิสเตอร์และการนำไปใช้งาน

By Art Pini

Contributed By DigiKey's North American Editors

มีปัญหาการออกแบบอย่างหนึ่งที่สามารถแก้ไขได้โดยง่ายด้วยการมองเห็นของมนุษย์ เช่น การตรวจจับตำแหน่งที่เหมาะสมของกระดาษในเครื่องพิมพ์ เป็นเรื่องง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะเห็นตำแหน่งของกระดาษ แต่ยากสำหรับไมโครโปรเซสเซอร์ที่จะตรวจสอบ ในกล้องโทรศัพท์มือถือจำเป็นต้องวัดแสงโดยรอบเพื่อพิจารณาว่าจำเป็นต้องเปิดใช้งานแฟลชหรือไม่ สามารถวัดระดับออกซิเจนในเลือดโดยไม่ลุกล้ำเข้าไปในร่างกายได้อย่างไร

วิธีแก้ปัญหาการออกแบบเหล่านี้คือการใช้โฟโตไดโอดหรือโฟโตทรานซิสเตอร์ อุปกรณ์ออปโตอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้แปลงแสง (โฟตอน) เป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อให้ไมโครโปรเซสเซอร์ (หรือไมโครคอนโทรลเลอร์) "มองเห็น" ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมตำแหน่งและการจัดตำแหน่งของวัตถุ กำหนดความเข้มของแสง และวัดคุณสมบัติทางกายภาพของวัสดุตามปฏิกิริยากับแสง

บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีการทำงานของโฟโตไดโอดและโฟโตทรานซิสเตอร์ ให้ความรู้พื้นฐานในการใช้งานแก่นักออกแบบ และนำเสนอตัวอย่างอุปกรณ์จาก Advanced Photonix, Inc., Vishay Semiconductor Opto Division, Excelitas Technologies, Genicom Co., Ltd., Marktech Optoelectronics และ NTE Electronics

สเปกตรัมแสงที่มักใช้กับโฟโตไดโอดและโฟโตทรานซิสเตอร์

โฟโตไดโอดและโฟโตทรานซิสเตอร์มีความไวต่อช่วงความยาวคลื่นแสง ในบางกรณีการทำงานที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็เป็นหนึ่งในข้อพิจารณา ผู้ออกแบบควรตระหนักถึงสเปกตรัมของแสงเพื่อให้อุปกรณ์เหมาะกับการใช้งาน

สเปกตรัมแสงครอบคลุมตั้งแต่อินฟราเรด (IR) ที่มีความยาวคลื่นยาวกว่าไปจนถึงรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่า (รูปที่ 1) ความยาวคลื่นที่มองเห็นได้อยู่ระหว่างนั้น

แผนภาพของสเปกตรัมแสงขยาย UV ถึง IR โดยมีสเปกตรัมที่มองเห็นอยู่ตรงกลาง (คลิกเพื่อดูภาพขยาย)รูปที่ 1: สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของสเปกตรัมแสงครอบคลุม UV ถึง IR โดยมีสเปกตรัมที่มองเห็นได้อยู่ตรงกลาง ตารางแสดงความยาวคลื่นที่มองเห็นได้และความถี่ที่เกี่ยวข้อง (ที่มารูปภาพ: Once Lighting (บน) และ Art Pini (ล่าง))

อุปกรณ์ออปโตอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่กำหนดค่าความยาวคลื่นใช้งานเป็นนาโนเมตร (nm) โดยที่ไม่ค่อยได้ใช้ค่าความถี่

โฟโตไดโอดซิลิคอน (Si) มีแนวโน้มที่จะไวต่อแสงที่มองเห็นได้ สำหรับอุปกรณ์ที่ไวต่อแสงอินฟราเรดจะใช้อินเดียมแอนติโมไนด์ (InSb), อินเดียมแกลเลียมอาร์เซไนด์ (InGaAs), เจอร์เมเนียม (Ge) หรือเมอคิวรี่แคดเมียมเทลลูไรด์ (HgCdTe) และอุปกรณ์ที่ไวต่อแสงยูวีมักใช้ซิลิกอนคาร์ไบด์ (SiC)

โฟโตไดโอด

โฟโตไดโอดคือไดโดแบบรอยต่อ P-N สององค์ประกอบหรือแบบ PIN โดยเปิดรับแสงผ่านตัวไดโอดหรือฝาครอบที่โปร่งใส เมื่อแสงตกกระทบรอยต่อ กระแสหรือแรงดันไฟจะเพิ่มขึ้นตามโหมดการทำงาน โฟโตไดโอดสามารถทำงานโหมดในโหมดหนึ่งในสามโหมดขึ้นอยู่กับการให้ไบแอสที่ใช้กับโฟโตไดโอด ซึ่งโหมดการทำงานทั้งสามคือ โหมดโฟโตโวลตาอิก โฟโตคอนดักทีฟ หรือแอวาแลนซ์ไดโอด

หากโฟโตไดโอดไม่มีการให้ไบแอส โฟโตไดโอดจะทำงานในโหมดโฟโตโวลตาอิกและสร้างแรงดันไฟขาออกต่ำ ๆ เมื่อมีแหล่งกำเนิดแสงมาตกกระทบ ในโหมดนี้ โฟโตไดโอดจะทำหน้าที่เหมือนเซลล์แสงอาทิตย์ โหมดโฟโตโวลตาอิกมีประโยชน์ในการใช้งานที่ความถี่ต่ำ โดยทั่วไปต่ำกว่า 350 กิโลเฮิรตซ์ (kHz) ด้วยมีความเข้มของแสงน้อย แรงดันไฟขาออกต่ำ และในกรณีส่วนใหญ่เอาต์พุตโฟโตไดโอดมักต้องการแอมพลิฟายเออร์

โหมดโฟโตคอนดักทีฟต้องการให้โฟโตไดโอดมีไบแอสแบบย้อนกลับ ไบแอสแบบย้อนกลับที่ใช้จะสร้างบริเวณปลอดพาหะที่รอยต่อ P-N ยิ่งมีไบแอสมาก บริเวณปลอดพาหะก็ยิ่งกว้างขึ้น บริเวณปลอดพาหะที่กว้างขึ้นส่งผลให้ความจุลดลง เมื่อเทียบกับไดโอดที่ไม่มีไบแอส ซึ่งส่งผลให้ตอบสนองเร็วขึ้น โหมดนี้มีสัญญาณรบกวนสูงกว่าและอาจต้องมีการจำกัดแบนด์วิดท์เพื่อควบคุม

หากไบแอสย้อนกลับเพิ่มขึ้นอีก โฟโตไดโอดจะทำงานในโหมดแอวาแลนซ์ไดโอด ในโหมดนี้ โฟโตไดโอดจะทำงานในสภาวะไบแอสย้อนกลับสูง โดยอนุญาตให้มีการเพิ่มของคู่อิเล็กตรอนและโฮลที่ผลิตแสงทวีคูณ เนื่องจากการพังทลายแบบแอวาแลนซ์ ส่งผลต่อการขยายภายในและความไวแสงที่สูงขึ้นในโฟโตไดโอด โหมดนี้มีฟังก์ชันการทำงานคล้ายกับหลอดโฟโตมัลติพลายเออร์

ในการใช้งานส่วนใหญ่ โฟโตไดโอดจะทำงานในโหมดโฟโตคอนดักทีฟโดยมีไบแอสย้อนกลับ (รูปที่ 2)

แผนภาพของโฟโตไดโอดไบแอสย้อนกลับ ทำให้กระแสเป็นสัดส่วนกับความเข้มแสง (คลิกเพื่อดูภาพขยาย)รูปที่ 2: โฟโตไดโอดไบแอสย้อนกลับสัดส่วนกระแสกับความเข้มแสงอันเนื่องมาจากการสร้างคู่อิเล็กตรอน-โฮลในบริเวณปลอดพาหะ วงกลมสีฟ้าแทนของอิเล็กตรอนและวงกลมสีขาวแทนโฮล (ที่มารูปภาพ: Art Pini)

รอยต่อโฟโตไดโอดแบบไบแอสย้อนกลับที่ไม่โดนแสงมีบริเวณปลอดพาหะซึ่งมีตัวพาหะอิสระอยู่บ้าง ดูเหมือนตัวเก็บประจุที่มีประจุ ซึ่งจะมีกระแสไฟฟ้าต่ำที่เกิดจากการแตกตัวเป็นไอออนด้วยความร้อน เรียกว่ากระแส "มืด" โฟโตไดโอดในอุดมคติจะมีกระแสมืดเป็นศูนย์ ระดับสัญญาณรบกวนจากกระแสมืดและความร้อนเป็นสัดส่วนกับอุณหภูมิของไดโอด กระแสมืดสามารถบดบังกระแสไฟฟ้าขณะโดนแสง (Photocurrent) ได้เนื่องจากระดับแสงน้อยมาก ดังนั้นควรเลือกอุปกรณ์ที่มีกระแสมืดต่ำ

เมื่อแสงกระทบบนชั้นปลอดพาหะด้วยพลังงานที่เพียงพอ จะทำให้อะตอมในโครงสร้างผลึกแตกตัวเป็นไอออนและสร้างคู่อิเล็กตรอน-โฮล สนามไฟฟ้าที่มีอยู่เนื่องจากการให้ไบแอสจะทำให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปที่แคโทดและโฮลจะเคลื่อนที่ไปที่ขั้วบวกทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าโฟโตเคอร์เรนต์ ยิ่งความเข้มของแสงมากเท่าใด กระแสไฟก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น กราฟความสัมพันธ์ของแรงดัน-กระแสของโฟโตไดโอดไบแอสย้อนกลับแสดงในรูปที่ 3

กราฟคุณลักษณะของ V-I สำหรับโฟโตไดโอดไบแอสย้อนกลับ (คลิกเพื่อดูภาพขยาย) รูปที่ 3: แผนภาพคุณลักษณะ V-I สำหรับโฟโตไดโอดไบแอสย้อนกลับแสดงการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นในกระแสไดโอดตามฟังก์ชันของระดับแสง (ที่มารูปภาพ: Art Pini)

กราฟแสดงกระแสย้อนกลับของไดโอดเป็นฟังก์ชันของแรงดันไบแอสย้อนกลับที่ใช้โดยมีความเข้มแสงเป็นพารามิเตอร์ โปรดทราบว่าการเพิ่มระดับแสงจะทำให้ระดับกระแสไฟย้อนกลับเพิ่มขึ้นตามสัดส่วน นี่เป็นพื้นฐานสำหรับการใช้โฟโตไดโอดในการวัดความเข้มของแสง แรงดันไบแอสเมื่อมากกว่า 0.5 โวลต์ มีผลเพียงเล็กน้อยต่อโฟโตเคอร์เรนต์ กระแสย้อนกลับสามารถแปลงเป็นแรงดันไฟฟ้าได้โดยนำไปใช้กับแอมพลิฟายเออร์ทรานส์อิมพีแดนซ์

ประเภทของโฟโตไดโอด

การใช้งานการตรวจจับและการวัดแสงที่หลากหลายทำให้เกิดโฟโตไดโอดประเภทต่าง ๆ ที่โดดเด่นมากมาย โฟโตไดโอดพื้นฐานคือแบบรอยต่อ P-N ระนาบเดียวกัน อุปกรณ์เหล่านี้ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในโหมดโฟโตโวลตาอิกที่ไม่มีไบแอส และยังเป็นอุปกรณ์ที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด

ไดโอด 002-151-001 จาก Advanced Photonix, Inc. เป็นตัวอย่างของโฟโตไดโอด/เครื่องตรวจจับแสง InGaAs แบบกระจายระนาบ (รูปที่ 4) มาในแพ็คเกจที่อุปกรณ์ยึดอยู่บนผิว (SMD) ขนาด 1.6 x 3.2 x 1.1 มิลลิเมตร (มม.) พร้อมช่องรับแสงแบบแอกทีฟที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.05 มม.

รูปภาพของ Advanced Photonix 002-151-001 คือโฟโตไดโอด PN SMD แบบกระจายระนาบเดียวกัน (คลิกเพื่อดูภาพขยาย) รูปที่ 4: 002-151-001 เป็นโฟโตไดโอด P-N กระจายระนาบเดียวกันแบบ SMD ที่มีขนาด 1.6 x 3.2 x 1.1 มม. มีช่วงสเปกตรัม 800 ถึง 1700 นาโนเมตร (ที่มาของภาพ: Advanced Photonix)

โฟโตไดโอด InGaAs นี้มีช่วงสเปกตรัม 800 ถึง 1700 นาโนเมตร ครอบคลุมสเปกตรัมอินฟราเรด กระแสมืดมีค่าน้อยกว่า 1 นาโนแอมแปร์ (nA) การตอบสนองทางสเปกตรัมซึ่งมีกระแสเอาต์พุตสำหรับอินพุตพลังงานแบบออปติกเฉพาะโดยทั่วไปที่ 1 แอมแปร์ต่อวัตต์ (A/W) ซึ่งมีไว้สำหรับการใช้งานต่าง ๆ รวมถึงการตรวจวัดทางอุตสาหกรรม ความปลอดภัย และการสื่อสาร

ไดโอดแบบ PIN เกิดขึ้นจากการประกบชั้นเซมิคอนดักเตอร์ภายในที่มีความต้านทานสูงระหว่างชั้น P และ N ของไดโอดทั่วไป ดังนั้น PIN จึงบ่งบอกถึงโครงสร้างของไดโอด

การแทรกชั้นภายในจะเพิ่มความกว้างที่มีประสิทธิภาพของชั้นปลอดพาหะไดโอด ส่งผลให้ความจุลดลงและแรงดันเบรกดาวน์ (Breakdown Voltage) สูงขึ้น ความจุที่ต่ำกว่าจะเพิ่มความเร็วของโฟโตไดโอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริเวณปลอดพาหะที่ใหญ่ขึ้นมีปริมาณการสร้างโฮลอิเล็กตรอนที่เกิดจากโฟตอนและประสิทธิภาพควอนตัมมากขึ้น

ไดโอด VBP104SR ของ Vishay Semiconductor Opto Division เป็นโฟโตไดโอด PIN ซิลิกอนที่ครอบคลุมช่วงสเปกตรัมตั้งแต่ 430 ถึง 1100 นาโนเมตร (ช่วงสีม่วงถึงใกล้อินฟราเรด) มีกระแสมืดทั่วไป 2 nA และพื้นที่ไวต่อแสงขนาดใหญ่ 4.4 ตารางมิลลิเมตร (รูปที่ 5)

รูปภาพของ Vishay VBP104SR คือโฟโตไดโอด PIN (คลิกเพื่อดูภาพขยาย) รูปที่ 5: Vishay VBP104SR เป็นโฟโตไดโอดแบบ PIN ที่มีพื้นที่การตรวจจับด้วยแสงขนาดใหญ่สำหรับการตรวจจับภาพถ่ายด้วยความเร็วสูง (ที่มาของภาพ: Vishay Semiconductors)

แอวาแลนซ์โฟโตไดโอด (APD) มีลักษณะการทำงานคล้ายกับหลอดโฟโตมัลติพลายเออร์ซึ่งใช้เอฟเฟกต์แอวาแลนซ์เพื่อสร้างการขยายในไดโอด เมื่อมีไบแอสย้อนกลับสูง คู่อิเล็กตรอน-โฮลแต่ละคู่จะสร้างคู่ใหม่โดยใช้วิธีการพังทลายแบบแอวาแลนซ์ ส่งผลต่อการขยายในรูปของโฟโตเคอร์เรนต์ที่ใหญ่ขึ้นต่อโฟตอนของแสง ทำให้ APD เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับความไวแสงน้อย

ตัวอย่างของ APD คือ C30737LH-500-92C จาก Excelitas Technologies มีช่วงสเปกตรัม 500 ถึง 1000 นาโนเมตร (ช่วงสีฟ้าถึงใกล้อินฟราเรด) โดยมีการตอบสนองสูงสุดที่ 905 นาโนเมตร (IR) มีการตอบสนองสเปกตรัม 60 A/W @ 900 nm โดยมีกระแสมืดน้อยกว่า 1 nA ซึ่งมีไว้สำหรับการใช้งานแบนด์วิธสูง เช่น การตรวจจับและวัดระยะแสงในรถยนต์ (LiDAR) และการสื่อสารด้วยแสง (ภาพที่ 6)

รูปภาพของแอวาแลนซ์โฟโตไดโอด Excelitas Technology C30737LH-500-92C (คลิกเพื่อดูภาพขยาย)รูปที่ 6: แอวาแลนซ์โฟโตไดโอด C30737LH-500-92C เป็นโฟโตไดโอดแบบแบนด์วิดท์สูงที่มีเป้าหมายในการใช้งานต่าง ๆ เช่น LiDAR และการสื่อสารด้วยแสง (ที่มารูปภาพ: Excelitas Technology)

โฟโตไดโอดชอทท์กี้

โฟโตไดโอดชอทท์กี้มาจากรอยต่อระหว่างโลหะกับเซมิคอนดักเตอร์ ด้านโลหะของจุดเชื่อมต่อสร้างอิเล็กโทรดแอโนด ในขณะที่ด้านเซมิคอนดักเตอร์ชนิด N คือแคโทด โฟตอนผ่านชั้นโลหะที่โปร่งใสบางส่วนและถูกดูดซับในเซมิคอนดักเตอร์ชนิด N ซึ่งทำให้คู่ของตัวพาหะมีประจุเป็นอิสระ ตัวพาหะมีประจุไฟฟ้าอิสระเหล่านี้จะถูกพาออกจากบริเวณปลอดพาหะโดยสนามไฟฟ้าที่ใช้และก่อตัวเป็นโฟโตเคอร์เรนต์

ลักษณะสำคัญของไดโอดเหล่านี้คือมีเวลาตอบสนองที่รวดเร็วมาก โดยทั่วไปจะใช้โครงสร้างรอยต่อไดโอดขนาดเล็กซึ่งสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว โฟโตไดโอดชอทท์กี้ที่มีแบนด์วิดท์ในช่วงกิกะเฮิรตซ์ (GHz) มีวางจำหน่ายทั่วไป ทำให้เหมาะสำหรับเชื่อมต่อการสื่อสารด้วยแสงแบนด์วิดท์สูง

ตัวอย่างของโฟโตไดโอดชอทท์กี้คือ โฟโตเซนเซอร์ GUVB-S11SD จาก Genicom Co., Ltd (รูปที่ 7) โฟโตไดโอดที่ไวต่อแสง UV นี้มีไว้สำหรับการใช้งานต่าง ๆ เช่น การวัดดัชนีรังสีอัลตราไวโอเลต ใช้วัสดุจากอะลูมิเนียมแกลเลียมไนไตรด์ (AlGaN) และมีช่วงความไวของสเปกตรัมตั้งแต่ 240 ถึง 320 นาโนเมตรในสเปกตรัม UV อุปกรณ์นี้มีความไวต่อสเปกตรัมและไม่สามารถวัดแสงที่มองเห็นได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีประโยชน์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างจ้า มีกระแสมืดน้อยกว่า 1 nA และการตอบสนอง 0.11 A/W

รูปภาพของ Genicom GUVB-S11SD เป็นเซ็นเซอร์ภาพถ่ายที่ไวต่อแสง UV ที่ใช้ AlGaN รูปที่ 7: GUVB-S11SD เป็นเซ็นเซอร์ภาพถ่ายที่ไวต่อแสง UV ที่ใช้ AlGaN โดยมีพื้นที่ออปติคัลแบบแอคทีฟ 0.076 ตารางมิลลิเมตร (ที่มารูปภาพ: Genicom Co, Ltd.)

โฟโต้ทรานซิสเตอร์

โฟโตทรานซิสเตอร์เป็นอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์แบบมีรอยต่อที่คล้ายกับโฟโตไดโอดซึ่งทำให้เกิดสัดส่วนระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความเข้มของแสง อาจถือได้ว่าเป็นโฟโตไดโอดที่มีแอมพลิฟายเออร์ในตัว โฟโตทรานซิสเตอร์เป็นทรานซิสเตอร์ NPN ที่การเชื่อมต่อฐานถูกแทนที่ด้วยแหล่งกำเนิดแสง จุดเชื่อมต่อเบสคอลเล็กเตอร์มีไบแอสย้อนกลับและเปิดรับแสงภายนอกผ่านช่องโปร่งใส จุดเชื่อมต่อตัวเบสคอลเล็กเตอร์ตั้งใจทำขึ้นให้ใหญ่พอกับการใช้งานจริงเพื่อเพิ่มกระแสไฟให้สูงสุด จุดเชื่อมต่อเบสอิมิตเตอร์รับไบแอสตรง โดยมีกระแสคอลเล็กเตอร์เป็นฟังก์ชันกับระดับแสงตกกระทบ แสงจะจ่ายกระแสเบส ซึ่งขยายเพิ่มขึ้นผ่านการทำงานของทรานซิสเตอร์แบบปกติ ในกรณีที่ไม่มีแสง จะมีกระแสมืดไหลต่ำ ๆ เช่นเดียวกับในโฟโตไดโอด

Marktech Optoelectronics MTD8600N4-T เป็นโฟโตทรานซิสเตอร์ NPN ที่มีความไวสเปกตรัม 400 ถึง 1100 นาโนเมตร (ช่วงที่มองเห็นได้จนถึงใกล้อินฟราเรด) และการตอบสนองต่อแสงสูงสุดที่ 880 นาโนเมตร (รูปที่ 8)

ภาพของ Marktech Optoelectronics MTD8600N4-T phototransistor สร้างกระแสคอลเล็กเตอร์ รูปที่ 8: โฟโตทรานซิสเตอร์ MTD8600N4-T ทำให้เกิดสัดส่วนกระแสคอลเล็กเตอร์กับระดับแสงตกกระทบ โปรดทราบว่ากระแสของคอลเล็กเตอร์เป็นอันดับของขนาดที่สูงขึ้นของกระแสจากโฟโตไดโอดอันเนื่องมาจากการขยายกระแสของทรานซิสเตอร์ (ที่มารูปภาพ: Marktech Optoelectronics)

โฟโตทรานซิสเตอร์นี้บรรจุอยู่ในแพ็คเกจทรงกระบอกโลหะที่มียอดโดมโปร่งใส กราฟกระแสคอลเล็กเตอร์เป็นฟังก์ชันของแรงดันไฟอิมิตเตอร์ โดยมีความเข้มแสงเป็นพารามิเตอร์ กระแสคอลเล็กเตอร์สูงกว่ากระแสในโฟโตไดโอดเป็นอย่างมากอันเนื่องมาจากการขยายกระแสในทรานซิสเตอร์

โฟโต้ทรานซิสเตอร์มีให้เลือกหลายแบบ ตัวอย่างเช่น NTE Electronics NTE3034A ซึ่งเป็นโฟโตทรานซิสเตอร์ NPN ที่ใช้แพ็คเกจอีพ็อกซี่ขึ้นรูปที่รับแสงจากด้านข้าง นอกจากนี้ยังตอบสนองต่อการมองเห็นในระยะใกล้กับอินฟราเรดด้วยการตอบสนองของแสงสูงสุดที่ 880 นาโนเมตร

บทสรุป

การตรวจจับแสงโดยใช้โฟโตทรานซิสเตอร์และโฟโตไดโอดเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ไมโครโปรเซสเซอร์หรือไมโครคอนโทรลเลอร์สามารถรับรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ และใช้อัลกอริธึมควบคุมหรือการวิเคราะห์ตามลำดับ โฟโตทรานซิสเตอร์พบว่ามีการใช้งานในลักษณะเดียวกับโฟโตไดโอด แต่ทั้งคู่ก็มีข้อดีแตกต่างกัน โฟโตทรานซิสเตอร์มีระดับกระแสเอาต์พุตที่สูงกว่าโฟโตไดโอด ในขณะที่โฟโตไดโอดสามารถทำงานที่มีความถี่สูง

DigiKey logo

Disclaimer: The opinions, beliefs, and viewpoints expressed by the various authors and/or forum participants on this website do not necessarily reflect the opinions, beliefs, and viewpoints of DigiKey or official policies of DigiKey.

About this author

Image of Art Pini

Art Pini

ผู้เขียน (Art) Pini เป็นผู้เขียนร่วมที่ DigiKey เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าจาก City College of New York และปริญญาโทสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าจาก City University of New York เขามีประสบการณ์มากกว่า 50 ปีในด้านอิเล็กทรอนิกส์และเคยทำงานในบทบาทสำคัญด้านวิศวกรรมและการตลาดที่ Teledyne LeCroy, Summation, Wavetek และ Nicolet Scientific เขามีความสนใจในเทคโนโลยีการวัดและประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับออสซิลโลสโคป, เครื่องวิเคราะห์สเปกตรัม, เครื่องกำเนิดรูปคลื่น arbitrary, ดิจิไทเซอร์ และมิเตอร์ไฟฟ้า

About this publisher

DigiKey's North American Editors