ประเภทและการใช้งานหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ

By Jeff Shepard

Contributed By DigiKey's North American Editors

หุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ (AMR) ถูกนำมาใช้ในด้านลอจิสติกส์ในหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากระบบขนส่งวัสดุแบบอยู่กับที่ เช่น สายพานลำเลียง AMR สามารถเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ ภายในอาคารได้โดยไม่จำกัดเส้นทาง การสื่อสารแบบไร้สายและระบบนำทางภายในอุปกรณ์ช่วยให้หุ่นยนต์เหล่านั้นได้รับคำสั่งว่าจะไปที่ใดต่อไป AMR สามารถนำทางไปยังตำแหน่งที่ต้องการโดยไม่ต้องตั้งโปรแกรม และสามารถค้นหาเส้นทางอื่นหากพบสิ่งกีดขวาง ซึ่ง AMR ทำให้การทำงานในคลังสินค้า กระบวนการผลิต และกระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นโดยการทำงานที่ไม่เพิ่มมูลค่า เช่น การขนส่ง การรับ และการนำส่งวัสดุ เพื่อให้พนักงานทำงานที่ซับซ้อนและเพิ่มมูลค่าได้ แม้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่ แต่สามารถ AMR แยกออกเป็นหลายประเภทที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละประเภทได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการทำงานที่เฉพาะเจาะจง

บทความนี้เปรียบเทียบและแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างโซลูชันระบบลำเลียงแบบดั้งเดิม เช่น ระบบสายพานลำเลียงและรถอัตโนมัติแบบมีแถบนำทาง (AGV) กับ AMR โดยจะพิจารณาถึงประโยชน์ของการใช้ AMR และวิธีที่การออกแบบ AMR ที่หลากหลายจะช่วยเพิ่มประโยชน์ในการทำงาน ซึ่งจะมีการกล่าวถึงการบูรณาการซอฟต์แวร์ของกลุ่ม AMR กับระบบอื่น ๆ รวมถึงความสามารถในการนำทางที่แม่นยำ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก AMR ต่อความปลอดภัยของพนักงาน และวิธีจัดการและจำลองกลุ่ม AMR และสุดท้ายบทความนี้จะพิจารณาโดยสังเขปว่าการบำรุงรักษาตามตารางสามารถเพิ่มอายุการใช้งาน AMR ได้อย่างไร ระบุถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะส่งผลให้เกิดการหยุดทำงานนอกกำหนดเวลา และช่วยกำหนดเวลาการซ่อมบำรุงเชิงรุกและเปลี่ยนชิ้นส่วนตามการหยุดทำงานตามกำหนดเวลาและข้อพิจารณาด้านการปฏิบัติงานอื่น ๆ

AGV สามารถจัดส่งวัสดุไปยังตำแหน่งเฉพาะที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าระบบสายพานลำเลียง แต่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่า AMR เนื่องจาก AGV มีเส้นทางที่แน่นอน เช่นเดียวกับสายพานลำเลียง แต่ AGV สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ง่ายและรวดเร็วกว่าระบบสายพานลำเลียง AMR สามารถทำงานร่วมกับผู้คน มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และสามารถค้นหาเส้นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อทำงานนั้น ๆ ให้สำเร็จ หาก AMR พบกับสิ่งกีดขวาง สามารถเปลี่ยนเส้นทางและไปยังจุดหมายปลายทางได้ แต่เมื่อ AGV พบกับสิ่งกีดขวาง จะหยุดและต้องการความช่วยเหลือก่อนที่จะดำเนินการตามเส้นทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (ภาพที่ 1) AMR ใช้การผสมผสานระหว่างพลังประมวลผลแบบออนบอร์ดและแบบรวมศูนย์และเซ็นเซอร์ที่ซับซ้อนเพื่อประมวลผลความสภาพแวดล้อม และนำทางอ้อมสิ่งกีดขวางทั้งแบบที่อยู่กับที่ เช่น ชั้นวางและเวิร์กสเตชัน และแบบที่เคลื่อนไหว เช่น รถยก คน AGV และ AMR อื่น ๆ

ภาพเมื่อ AMR เข้าใกล้สิ่งกีดขวาง มันสามารถนำทางไปอ้อมสิ่งกีดขวางนั้นได้อย่างอิสระรูปที่ 1: เมื่อ AMR เข้าใกล้สิ่งกีดขวาง (ซ้าย) จะสามารถนำทางนำทางไปอ้อมสิ่งกีดขวางได้อย่างอิสระ เมื่อ AGV เข้าใกล้สิ่งกีดขวาง (ขวา) รถจะหยุดจนกว่าจะได้รับความช่วยเหลือ (ที่มาของภาพ: Omron)

Integration Toolkit (ITK) คืออินเทอร์เฟซของ Omron ที่ช่วยให้สามารถผสานรวมระหว่าง AMR และซอฟต์แวร์โปรแกรมเฉพาะเครื่อง เช่น ระบบดำเนินการผลิต (MES) หรือระบบการจัดการคลังสินค้า (WMS) ตัวอย่างเช่น AMR สามารถรวมเข้ากับระบบควบคุมของคลังสินค้าในคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า ทำให้ AMR มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการสร้างเส้นทางระหว่างตำแหน่งต่าง ๆ ภายในคลังสินค้าหรือศูนย์กระจายสินค้า จะได้หุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้ดีมากขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีการเคลื่อนที่ตลอดเวลาในการปฏิบัติตามคำสั่งซื้อและการปฏิบัติงานในคลังสินค้าส่วนใหญ่

AMR สามารถทำงานได้เหมือนกับ AGV

การใช้งาน AMR บางอย่าง เช่น การส่งวัสดุไปยังสายพานลำเลียง เครื่องป้อน และแท่นทดสอบต้องการให้หุ่นยนต์หยุดที่ตำแหน่งเฉพาะด้วยความแม่นยำและความสามารถในการทำซ้ำสูง ผู้ควบคุมระบบขนส่ง (Fleet Manager) ที่ใช้ Omron AMR สามารถเลือกระบบกำหนดตำแหน่งที่มีความแม่นยำสูงหนึ่งในสองระบบคือ ระบบกำหนดตำแหน่งเซลล์ (CAPS) และระบบกำหนดตำแหน่งความแม่นยำสูง (HAPS) CAPS หรือ HAPS สามารถเพิ่มความแม่นยำในการไปถึงเป้าหมายได้ตั้งแต่ ±100 มม. ถึง ±8 มม. เลเซอร์หลักสแกนเพื่อความปลอดภัยที่ด้านหน้าของ AMR นั้นใช้เทคโนโลยี CAPS เพื่อตรวจจับตำแหน่งเป้าหมาย และทำให้ AMR สามารถเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งนั้นได้อย่างแม่นยำสูง

เทคโนโลยี HAPS ยังสามารถเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่ที่กำหนดได้อย่างสม่ำเสมอด้วยความแม่นยำที่เพิ่มขึ้นและ/หรือหยุดอย่างแม่นยำที่เป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ด้วยการบิด เมื่อใช้ HAPS ตัว AMR จะสามารถเคลื่อนที่ไปตามเทปแม่เหล็ก (Mag tape) บนพื้นเพื่อนำทางไปยังเป้าหมาย คล้ายกับ AGV เซ็นเซอร์ HAPS ที่อยู่ใต้ AMR ใช้เพื่อเปลี่ยนจากโหมดอัตโนมัติดยสมบูรณ์ไปเป็นเคลื่อนที่ตามเส้นทางที่กำหนดโดยแม็กเทปได้อย่างราบรื่น จากนั้น AMR จะใช้เซ็นเซอร์ออนบอร์ดและเครื่องหมายบนพื้นเพื่อนำทางและหยุดที่ตำแหน่งเฉพาะอย่างแม่นยำ (รูปที่ 2)

รูปภาพของ Omron CAPS ใช้เลเซอร์สแกนด้านหน้าของ AMRรูปที่ 2: Omron CAPS (ซ้าย) ใช้เลเซอร์สแกนด้านหน้าของ AMR ร่วมกับการนำทางอัตโนมัติเพื่อค้นหาและไปยังตำแหน่งเป้าหมายด้วยความแม่นยำสูง HAPS (ขวา) ใช้เครื่องหมายร่วม เช่น เทปแม่เหล็กและเซ็นเซอร์ออนบอร์ด เพื่อนำทางและหยุดที่พื้นที่ที่กำหนด (ที่มาของภาพ: Omron)

เมื่อใช้งานในโหมด HAPS Omron AMR สามารถเข้าและออกจากเส้นทางเทปแม่เหล็กเมื่อใดก็ได้ ซึ่งช่วยให้ AMR เปลี่ยนจากคุณลักษณะตามปกติและการนำทางอัตโนมัติไปเป็นการเคลื่อนที่ตามเทปแม่เหล็กเหมือนกับ AGV ได้อย่างราบรื่น หากติดตั้งเซ็นเซอร์ HAPS ด้านหน้าและด้านหลัง AMR สามารถเคลื่อนที่เดินหน้าและถอยหลังตามเส้นทางแม่เหล็กได้อย่างแม่นยำ

นักพัฒนา ผู้บูรณาการระบบ และผู้ใช้ปลายทางสามารถปรับแต่งระบบ Omron AMR ตามน้ำหนักบรรทุกและงานต่าง ๆ ได้ (ภาพที่ 3) นอกเหนือจากความเป็นไปได้ในการบูรณาการใช้กับคลังสินค้าที่ได้รับการสนับสนุนจาก ITK แล้ว การรวมกันของ CAPS และ HAPS จะเพิ่มความสามารถของ AMR เหล่านี้เมื่อจำเป็นต้องมีการไปยังตำแหน่งที่แม่นยำและทำซ้ำได้ และเมื่อเปิดการใช้งานใหม่ เช่น:

  • ขนส่งรถเข็นที่เต็มไปด้วยวัสดุ
  • การตรวจสอบสินค้าคงคลังในร้านค้าปลีก
  • ดูแลหุ่นยนต์ส่งของเพื่อส่งของให้ผู้เข้าพักในโรงแรมหรือส่งส่วนประกอบที่มีมูลค่าสูงไปยังเวิร์กสเตชัน
  • การฆ่าเชื้อในที่สาธารณะ
  • การทำงานร่วมกัน AMR แบบที่สามารถกำหนดเองได้
  • สายพานลำเลียง
  • ส่งของที่มีน้ำหนักไม่เกิน 1,500 กก.

รูปภาพของ AMR มีให้เลือกหลายรูปแบบ (คลิกเพื่อดูภาพขยาย)รูปที่ 3: AMR มีการปรับแต่งที่ที่สามารถปรับให้เหมาะกับการใช้งานแบบต่าง ๆ (ที่มาของภาพ: Omron)

หุ่นยนต์ที่มีความปลอดภัย

การปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ AMR ตัวอย่างของเซ็นเซอร์ความปลอดภัยมาตรฐาน ได้แก่ โซนาร์ด้านหลังและเลเซอร์ด้านหน้าสำหรับการตรวจจับสิ่งกีดขวาง เซ็นเซอร์กันชนหน้าเพื่อหยุด AMR หากสัมผัสกับวัตถุ และแสงไฟเพื่อเตือนผู้คนในบริเวณใกล้เคียงว่า AMR กำลังทำงานอยู่ (รูปที่ 4) โดยสามารถเพิ่มเซ็นเซอร์เพื่อเติมตามความต้องการเฉพาะ เช่น ตรวจจับสิ่งกีดขวางที่ยื่นหรือห้อยออกมา ซึ่ง AMR จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยระดับชาติและระดับสากล เช่น EN 1525 (ความปลอดภัยของรถบรรทุกอุตสาหกรรม รถบรรทุกไร้คนขับ และระบบของรถบรรทุก), ANSI 56.5:2012 (มาตรฐานความปลอดภัยสำหรับยานยนต์ไร้คนขับ, ยานยนต์อุตสาหกรรมที่มีระบบนำทางอัตโนมัติ และการทำงานอัตโนมัติของยานพาหนะอุตสาหกรรมที่มีคนควบคุม ) และ JIS D 6802: 1997 (ระบบยานพาหนะนำทางอัตโนมัติ - กฎทั่วไปด้านความปลอดภัย)

รูปภาพของ Omron AMR ที่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย ISO EN1525, JIS D6802 และ ANSI B56.5 (คลิกเพื่อดูภาพขยาย)รูปที่ 4: Omron AMR เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย ISO EN1525, JIS D6802 และ ANSI B56.5 โดยมีเซ็นเซอร์มาตรฐานหลายตัวเพื่อความปลอดภัย และสามารถติดตั้งเซ็นเซอร์เสริมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยสำหรับการใช้งานเฉพาะ (ที่มาของภาพ: Omron)

การประเมินความปลอดภัยระดับระบบ

การปฏิบัติตามมาตรฐานระดับชาติและระดับสากลที่หลากหลายเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความปลอดภัยของ AMR โดย AMR เป็นเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนา พวกมันจะมีซับซ้อนมากยิ่งขึ้นและจัดการกับน้ำหนักบรรทุกที่หนักขึ้นสร้างความท้าทายด้านความปลอดภัยใหม่ เพื่อแก้ไขข้อกังวลด้านความปลอดภัยที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาใน AMR บริษัท Omron ขอเสนอบริการให้คำปรึกษาด้านความปลอดภัยที่ให้ความช่วยเหลือด้านการออกแบบ การประเมินความเสี่ยง การทดสอบ และการตรวจสอบความถูกต้องของการปรับใช้ AMR ตัวอย่างเช่น มาตรฐาน ISO 3691-4 ฉบับใหม่มีข้อกำหนดเฉพาะสำหรับการเว้นระยะห่างระหว่างหุ่นยนต์เคลื่อนที่กับโครงสร้างอื่น ๆ การสนับสนุนจากที่ปรึกษา Omron Safety Service ประกอบไปด้วย:

  • การศึกษาการออกแบบเลย์เอาต์และการระบุโซนตามข้อกำหนด ISO 3691-4
  • ออกแบบการคำนวณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้งานที่มีการจราจรหนาแน่นหรือเมื่อมีการเคลื่อนย้ายของหนัก
  • การทดสอบและตรวจสอบโซลูชันในสถานที่

ผู้ควบคุมระบบ AMR

แทบจะไม่มีการใช้ AMR เพียงตัวเดียวเลย กลุ่ม AMR จำนวน 100 ตัวเป็นการใช้งานตามปกติ และ Omron มีโซลูชันการจัดการ AMR ที่ให้การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ และการรายงานในตัวเพื่อให้องค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของการดำเนินงานในอาคารโดยรวมตลอดจนหุ่นยนต์ประจำอาคารได้ อุปกรณ์เครือข่าย Enterprise Manager 2100 เป็นโซลูชันฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกลุ่ม AMR (ภาพที่ 5) ซอฟต์แวร์การจัดการคิวใช้สื่อสารกับ AMR แต่ละตัว ซึ่งจะมอบหมายงานให้กับ AMR แต่ละตัวตามคำขอจากผู้ใช้หรืออุปกรณ์อัตโนมัติ

รูปภาพของอุปกรณ์เครือข่าย Omron 2100 Enterprise Managerรูปที่ 5 อุปกรณ์เครือข่าย Omron 2100 Enterprise Manager ได้รับการออกแบบมาเพื่อจัดการกลุ่ม AMR ที่มีขนาดไม่เกิน 100 ตัว (ที่มาของภาพ: Omron)

โซลูชัน Omron Fleet Operations Workspace (FLOW) ทำงานบน Enterprise Manager 2100 และมีระบบการจัดการกลุ่มยานพาหนะอัจฉริยะที่ตรวจสอบตำแหน่งของหุ่นยนต์เคลื่อนที่และการไหลของจราจร Enterprise Manager 2100 ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการและอัปเดตการกำหนดค่า AMR โดยจะประสานการทำงานร่วมกันและการเคลื่อนไหวของ AMR ดังนั้นหุ่นยนต์แต่ละตัวจึงรู้ตำแหน่งและเส้นทางของ AMR ในบริเวณใกล้เคียง ซอฟต์แวร์ FLOW ช่วยลดความต้องการในการเขียนโปรแกรมบนระบบดำเนินการผลิต (MES) และระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) โดยการทำให้งานการจัดการหุ่นยนต์ต่าง ๆ เป็นไปโดยอัตโนมัติ คุณสมบัติของ FLOW ประกอบไปด้วย:

  • ชุดเครื่องมือการรวมกลุ่มหุ่นยนต์ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ได้แก่ Restful, SQL, Rabbit MQ และ ARCL
  • การจัดการงานตามระดับความสำคัญ
  • การระบุและการเลือกเส้นทางที่เร็วที่สุดตามการจราจรของมนุษย์และหุ่นยนต์
  • การระบุเส้นทางที่ถูกปิดกั้นและการกำหนดเส้นทางสำรอง
  • การเพิ่มประสิทธิภาพของการมอบหมายงาน AMR
  • การปรับตารางเวลาการชาร์จแบตเตอรี่ให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มเวลาให้บริการของหุ่นยนต์ให้ได้มากที่สุด

การจำลองสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของกลุ่ม AMR ได้

ก่อนที่จะปรับใช้อุปกรณ์เครือข่าย EM2100 สำหรับการจัดการกลุ่มหุ่นยนต์เคลื่อนที่ ซอฟต์แวร์ Fleet Simulator ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวางแผนการจราจรและขั้นตอนการทำงานของกลุ่มหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติ และช่วยระบุและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยซอฟต์แวร์ Fleet Simulator ของ Omron จะสร้างแบบจำลองสำหรับการปรับใช้งาน AMR ตามพื้นที่ การวางแผนเส้นทาง การหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง การจำลองงาน และการจัดการกลุ่มหุ่นยนต์ตามแผนที่ของสถานที่จริงได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังสามารถใช้การจำลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพองค์ประกอบของกลุ่ม AMR และคาดการณ์ปริมาณงาน EM2100 สามารถกำหนดค่าเป็น Fleet Simulator จากโรงงานหรือด้วยการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่หน้างาน

ภาพโปรแกรมจำลองกลุ่มหุ่นยนต์เคลื่อนที่รูปที่ 6: โปรแกรมจำลองกลุ่ม Omron ทำงานบนอุปกรณ์เครือข่าย 2100 Enterprise Manager และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพกลุ่ม AMR ที่ต่างกันทั้งหมดก่อนปรับใช้ (ที่มาของภาพ: Omron)

การดูแล AMR

หน้างานจะคาดหวังให้ AMR ทำงานแทบจะต่อเนื่อง และการบำรุงรักษาเชิงป้องกันอาจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการปรับใช้งานที่ประสบความสำเร็จ เพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว Omron ขอเสนอ Wellness Visits ที่มีการประเมินสภาพของ AMR ในสถานที่ปฏบัติงานเป็นประจำ ทำให้สามารถกำหนดเวลาการบำรุงรักษาล่วงหน้าได้ ช่วยลดเวลาหยุดทำงานที่มีค่าใช้จ่ายสูง ประโยชน์ของ Wellness Visits ประกอบด้วย:

  • ทำให้ AMR มีอายุการใช้งานสูงสุด
  • การบำรุงรักษาให้ AMR มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด
  • การระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ลดการหยุดทำงานที่ไม่ได้กำหนดไว้ให้น้อยที่สุด
  • กำหนดเวลาการซ่อมแซมและเปลี่ยนชิ้นส่วนเชิงรุกตามการปิดระบบตามกำหนดการและข้อพิจารณาด้านการปฏิบัติงานอื่น ๆ

สรุป

มีการใช้ AMR เพื่อทำให้การปฏิบัติงานของคลังสินค้า กระบวนการผลิต และกระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นโดยรนำวัสดุจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้พนักงานทำงานที่ซับซ้อนและเพิ่มมูลค่าได้ เนื่องจากการใช้งาน AMR มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จึงมีการพัฒนา AMR รูปแบบใหม่ ๆ ที่ทำให้การจัดการกลุ่ม AMR มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น การจัดการกลุ่มของ AMR เริ่มต้นด้วยการจำลองการโต้ตอบของ AMR ในสภาพแวดล้อมที่จำลองขึ้นมาก่อนนำไปใช้งานจริง เมื่อนำมาใช้งานแล้ว AMR จะต้องทำงานอย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และหยุดทำงานให้น้อยที่สุด มีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบรวมศูนย์ที่สามารถใช้เพื่อจำลองการใช้งาน AMR ที่เป็นไปได้ รวมทั้งตรวจสอบการทำงานที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเชื่อถือได้ของกลุ่ม AMR

DigiKey logo

Disclaimer: The opinions, beliefs, and viewpoints expressed by the various authors and/or forum participants on this website do not necessarily reflect the opinions, beliefs, and viewpoints of DigiKey or official policies of DigiKey.

About this author

Image of Jeff Shepard

Jeff Shepard

Jeff เขียนเกี่ยวกับเรื่องอิเล็กทรอนิกส์กำลัง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และหัวข้อทางด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ มามากกว่า 30 ปีแล้ว เขาเริ่มเขียนเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์กำลังในตำแหน่งบรรณาธิการอาวุโสที่ EETimes ต่อมาเขาได้ก่อตั้ง Powertechniques ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์กำลังและก่อตั้ง Darnell Group ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและเผยแพร่ด้านอิเล็กทรอนิกส์กำลังระดับโลกในเวลาต่อมา ในบรรดากิจกรรมต่างๆ Darnell Group ได้เผยแพร่ PowerPulse.net ซึ่งให้ข่าวประจำวันสำหรับชุมชนวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์กำลังทั่วโลก เขาเป็นผู้เขียนหนังสือข้อความแหล่งจ่ายไฟสลับโหมดชื่อ "Power Supplies" ซึ่งจัดพิมพ์โดยแผนก Reston ของ Prentice Hall

นอกจากนี้ Jeff ยังร่วมก่อตั้ง Jeta Power Systems ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์จ่ายไฟแบบสวิตชิ่งกำลังวัตต์สูงซึ่งได้มาจากผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ Jeff ยังเป็นนักประดิษฐ์โดยมีชื่อของเขาอยู่ในสิทธิบัตร 17 ฉบับของสหรัฐอเมริกาในด้านการเก็บเกี่ยวพลังงานความร้อนและวัสดุที่ใช้ในเชิงแสงและเป็นแหล่งอุตสาหกรรม และบ่อยครั้งเขายังเป็นนักพูดเกี่ยวกับแนวโน้มระดับโลกในด้านอิเล็กทรอนิกส์กำลัง เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิธีการเชิงปริมาณและคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

About this publisher

DigiKey's North American Editors