ควบคุมและขยายแรงดันไฟฟ้าสูงอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยด้วย Op Amp สำหรับไฟฟ้าแรงสูงที่เหมาะสม

By Bill Schweber

Contributed By DigiKey's North American Editors

มีรูปแบบการใช้งานมากมายที่ต้องใช้แอมพลิฟายเออร์เชิงดำเนินการ (op-amps) ที่สามารถทำงานได้ที่แรงดันไฟฟ้ากำลังสูง (มากกว่า 60 V ถึง 100 V) ขึ้นอยู่กับลักษณะของสัญญาณอินพุตหรือคุณลักษณะของโหลดเอาต์พุต รูปแบบการใช้งานเหล่านี้รวมถึงไดรเวอร์ Piezo ในเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทและเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ตลอดจนตัวรับคลื่นอัลตราโซนิคและอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ ไดรเวอร์ ATE และแหล่งกำเนิดสนามไฟฟ้า

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ op-amps แบบทั่วไป เนื่องจากต้องพิจารณาควบคู่กับสลูว์เรท (slew rate) เมื่อเจอกับโหลดที่ไม่มีความต้านทาน (แบบตัวเหนี่ยวนำ แบบตัวเก็บประจุ) ต้องใช้แหล่งจ่ายไฟที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด และเมื่อแรงดันไฟฟ้าสูงกว่า 60 V ผู้ออกแบบต้องดำเนินการอย่างเข้มงวดและเป็นไปตามข้อกำหนดที่มีการบังคับไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน ทั้งอาจใช้กับกระแสไฟฟ้าแรงสูง จนนำไปสู่ปัญหาการจัดการเกี่ยวกับอุณหภูมิ

เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ มี op-amps สำหรับไฟฟ้าแรงสูงแบบเชิงเดี่ยวและไฮบริดที่ได้มาตรฐานที่พร้อมใช้งานตามกระบวนการเฉพาะเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการพิจารณาเป็นพิเศษในการเลือก การออกแบบ และวางเลย์เอาต์เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์การออกแบบระบบอย่างสม่ำเสมอและปลอดภัย บทความนี้จะกล่าวถึงการใช้ op-amps สำหรับแรงดันไฟฟ้าที่สูงขึ้น (>100 V) ในรูปแบบการใช้งานทั่วไปที่มีลักษณะเฉพาะ (แปลกใหม่) และวิธีใช้งานให้ประสบความสำเร็จ

ทำไมต้องใช้กับไฟฟ้าแรงสูง?

รูปแบบการใช้งานอื่น ๆ ที่สามารถใช้แทน op amps สำหรับไฟฟ้าแรงสูงนั้นมีมากมาย โดยส่วนใหญ่ต้องการทั้งแรงดันไฟฟ้าที่สูงขึ้นพร้อมกับการควบคุมที่แม่นยำ ในขณะที่พวกเขาพัฒนาเวอร์ชันการรับแรงดันไฟฟ้าจากสัญญาณอินพุตแรงดันไฟฟ้าที่ต่ำ ในกรณีส่วนใหญ่ รูปแบบการใช้งานเหล่านี้จะไม่เปิด/ปิดสัญญาณแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่าได้เอง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องขยายสัญญาณเชิงเส้น แทนที่จะเป็นฟังก์ชันสวิตช์ไฟฟ้าแรงสูงที่ง่ายกว่า รูปแบบการใช้งานเหล่านี้บางส่วน ซึ่งมักจะต้องใช้เอาต์พุตแบบสองขั้ว ได้แก่:

  • ไดรเวอร์ Piezo ในเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท ตัวรับคลื่นอัลตราโซนิค และวาล์ววัดการไหลที่แม่นยำสูง
  • ไดรเวอร์อุปกรณ์ทดสอบอัตโนมัติ (ATE) ใช้สำหรับดำเนินการกับ ICs อุปกรณ์ไฮบริด และโมดูลอื่น ๆ ได้อย่างครบวงจร
  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องวัดกัมมันตภาพรังสี (Geiger counters)
  • เลเซอร์ไดโอดความเข้มสูงของระบบการสร้างภาพในการตรวจจับแสงและวัดระยะ (LiDAR) ของอุตสาหกรรมยานยนต์
  • การสร้างสนามไฟฟ้าที่มักใช้ในการทดสอบทางชีวการแพทย์กับของเหลว

ระบบเหล่านี้จำนวนมากทำงาน อย่างน้อยก็ในส่วน ที่มีแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่าแต่มีกระแสไฟฟ้าต่ำถึงปานกลาง (10 ถึง 100 mA) ดังนั้นจึงไม่ใช่ "กำลังสูง" ในความหมายปกติ ด้วยเหตุนี้ การออกแบบจึงเน้นที่การควบคุมและการจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่จำเป็นมากกว่าการจัดการกับความร้อนที่เกิดขึ้น

ตัวอย่างเช่น op-amp ที่ส่ง 100 V ที่ 100 mA ไปยังตัวรับโหลดที่มีความต้องการเพียง 10 W จากแหล่งจ่าย (บวกกำลังเพิ่มเติมบางส่วนสำหรับการสูญเสียภายใน โดยทั่วไปแล้ว 20% ถึง 30%) แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่ใช่ลักษณะ "กำลังต่ำ" อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความร้อนมากนัก เนื่องจากกำลัง 10 W ส่วนใหญ่จะวิ่งไปที่โหลด ดังนั้นจึงไม่ได้ถูกกระจายออกไปโดยส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ อย่างไรก็ตาม การกระจายความร้อนเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเสมอเมื่อเข้าสู่กระบวนการออกแบบ

ข้อควรคำนึงเพิ่มเติมในการขยายสัญญาณไฟฟ้าแรงสูงผ่าน op-amp ต่อไปนี้คือปัญหาโดยทั่วไปบางอย่างที่นักออกแบบต้องเผชิญ

  • การเลือกและการใช้ op-amp ที่เหมาะสม
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง
  • จัดหารางของไฟฟ้าแรงสูง DC สำหรับ op-amp ซึ่งอาจเป็นแบบเดียวกับการจ่ายโหลด
  • ตรวจสอบความปลอดภัยจากไฟฟ้าแรงสูงและปฏิบัติตามข้อบังคับในเลย์เอาต์และการก่อสร้าง

การเลือกและการใช้ op-amp

op-amp สำหรับไฟฟ้าแรงสูงไม่เหมือนกับแอมพลิฟายเออร์ทั่วไป โดยทั่วไป แอมพลิฟายเออร์จะให้กำลังขยายที่แรงดันและกระแสไฟฟ้ารวมกัน และปกติจะเข้าไปโหลดที่มีความต้านทาน ในทางตรงกันข้าม op-amp ได้รับการกำหนดค่าให้เพิ่มแรงดันไฟฟ้าในขณะที่ส่งกระแสไฟฟ้าให้ถึงค่าสูงสุดตามที่กำหนดไว้ให้กับโหลด นอกจากนี้ op-amp ยังสามารถกำหนดค่าสำหรับการขยายแบบคงที่หรือแบบปรับได้ และใช้ในโทโพโลยีที่หลากหลายนอกเหนือจากบล็อกการเพิ่มแรงดัน "แบบง่าย"

ในอดีต กระบวนการทาง IC ส่วนใหญ่ถูกใช้สำหรับการทำงานแบบเชิงเส้น เช่น op-amps ถูกจำกัดไว้ที่สูงสุดประมาณ 50 V ในการสร้าง op-amp ที่มีแรงดันไฟฟ้าสูงขึ้น นักออกแบบได้เพิ่มทรานซิสเตอร์แรงสูงแบบแยกส่วนจากภายนอกที่เอาต์พุตเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวเพิ่มแรงดันไฟฟ้า การใช้ op-amp JFET แม่นยำสูงของ LT1055 จาก Analog Devices ในวงจรที่มีทรานซิสเตอร์เพิ่มแรงดันเสริมที่ส่งแรงดันไฟฟ้า ±120 V ตามที่แสดงใน (รูปที่ 1)

ไดอะแกรมของ LT1055 จาก Analog Devices

รูปที่ 1: วิธีหนึ่งในการผลิตเอาต์พุต op-amp สำหรับแรงดันไฟฟ้าที่สูงขึ้น คือการเพิ่มทรานซิสเตอร์เพิ่มแรงดันเสริมให้กับอุปกรณ์พื้นฐาน เช่น LT1055 จาก Analog Devices เพื่อใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติอินพุตของ op-amp ซึ่งการออกแบบนี้ให้เอาต์พุตไปที่ ±120 V (แหล่งที่มาของภาพ: Analog Devices)

แม้ว่าจะใช้งานได้ แต่ก็มีข้อเสียคือมีรายการประกอบที่ซับซ้อนและมีราคาแพงกว่าเมื่อเทียบกับ IC เพียงอย่างเดียว รวมถึงปัญหาด้านเลย์เอาต์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีความท้าทายในการจัดการและรักษาความสามารถในการรักษาสมดุลระหว่างการสวิงของเอาต์พุตที่เป็นบวกและลบ ในขณะที่ลดการบิดเบือนในการข้ามผ่านจุดศูนย์ให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักเป็นผลมาจากส่วนประกอบที่ไม่เข้ากัน (ส่วนใหญ่เป็นทรานซิสเตอร์ NPN และ PNP) และความไม่สมดุลในการจัดวางเลย์เอาต์ทางกายภาพ

การเลือก op-amp สำหรับไฟฟ้าแรงสูงเริ่มต้นด้วยการประเมินค่าพารามิเตอร์ที่คล้ายกันกับพารามิเตอร์ของ op-amp อื่น ๆ แม้ว่าจะมีตัวเลขเฉพาะที่แตกต่างกันก็ตาม กระบวนการนี้ค่อนข้างง่ายเนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับไฟฟ้าแรงสูงค่อนข้างน้อย การพิจารณาการออกแบบประกอบด้วยสามส่วนหลัก:

  1. ปัจจัยที่สำคัญที่สุด ได้แก่ แรงดันไฟฟ้าเอาต์พุต กระแสไฟเอาต์พุต แบนด์วิดท์ สลูว์เรท และประสิทธิภาพระหว่างแบบขั้วเดียวกับสองขั้ว
  2. ข้อกังวลอื่น ๆ ได้แก่ ข้อจำกัดของสลูว์เรทและประเภทของโหลด รวมถึงข้อผิดพลาดที่เกี่ยวกับอุณหภูมิ ซึ่งสามารถแสดงในรูปคลื่นสัญญาณเอาต์พุต
  3. สุดท้ายคือปัญหาเรื่องการป้องกันการโอเวอร์โหลดจากความร้อน กระแสไฟเกิน และปัญหาอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อแอมพลิฟายเออร์ทั้งหมด

การก้าวข้ามข้อจำกัด

นักออกแบบต้องประเมินว่า op-amps สำหรับไฟฟ้าแรงสูงตัวใดที่ไม่เพียงแต่ตรงตามเกณฑ์บังคับ #1 แต่ยังมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดต่ำเพียงพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการ และยังมีการป้องกันในตัวที่ดีพอ หรือสามารถใช้ได้กับการป้องกันจากภายนอก เช่น วงจรจำกัดกระแส

การปรับประสิทธิภาพของอุปกรณ์ให้ตรงตามข้อกำหนดเกือบทั้งหมดต้องใช้วิจารณญาณที่ดี ตัวอย่างเช่น บางครั้ง op-amp ที่ "ดีที่สุด" ที่มีอยู่ยังคงขาดอยู่หนึ่งปัจจัย เช่น ความไม่เสถียรขณะส่งไปโหลดที่เป็นตัวเก็บประจุ หรือความสามารถในการส่งกระแสไฟเอาต์พุตที่เพียงพอ หรือปัญหาเกี่ยวกับอุณหภูมิที่สูงเกินไป นักออกแบบต้องตัดสินใจระหว่างการมองหา op-amp ตัวอื่น ซึ่งอาจมีข้อบกพร่องที่แตกต่างกัน หรือใช้ตัวที่ดีที่สุดแล้วขยายประสิทธิภาพเอา

ตัวอย่างบางส่วนแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์นี้:

โหลดที่เป็นตัวเก็บประจุ: ADHV4702-1 จาก Analog Devices เป็น op-amp แม่นยำสูงสำหรับไฟฟ้าแรงสูง (รูปที่ 2) อุปกรณ์สามารถทำงานได้จากแหล่งจ่ายแบบสมมาตรคู่ที่แรงดัน ±110 V แหล่งจ่ายแบบไม่สมมาตร หรือแหล่งจ่ายไฟทางเดียว +220 โวลต์ และสามารถส่งเอาต์พุตได้ตั้งแต่ ±12 V ถึง ±110 V ที่สูงถึง 20 mA

อัตราการขยายแบบวงเปิด 170 เดซิเบล (dB) (AOL) เป็นปัจจัยสำคัญในการมีประสิทธิภาพสูง อุปกรณ์สามารถใช้กับโหลดที่เป็นตัวเก็บประจุได้พอประมาณ แต่เมื่อโหลดนี้เพิ่มขึ้น ขั้วของฟังก์ชั่นการถ่ายโอนจะเลื่อนออก ทำให้มันแสดงว่าเอาต์พุตถึงจุดสูงสุดและความไม่เสถียรที่อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากความต่างของเฟสที่ลดลง

นักออกแบบ op-amp ได้เสนอวิธีแก้ปัญหานี้ การเพิ่มชุดตัวต้านทานระหว่างเอาต์พุตและพิน โหลด C ช่วยให้สามารถใช้ op-amp กับโหลดที่ขนาดใหญ่มากกว่า 1 ไมโครฟารัด (µF) ได้ (รูปที่ 2)

รูปภาพของชุดตัวต้านทาน (RS) ระหว่างเอาต์พุตของแอมพลิฟายเออร์กับ CLOAD

รูปที่ 2: การวางชุดตัวต้านทาน (RS) ระหว่างเอาต์พุตของแอมพลิฟายเออร์และโหลด C ช่วยให้ ADHV4702-1 ใช้กับโหลดที่เป็นตัวเก็บประจุที่ขนาดใหญ่กว่า 1 μF (แหล่งที่มาของภาพ: Analog Devices)

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มตัวต้านทานนี้อาจทำให้โหลดขนาดเล็กถึงจุดสูงสุดได้ (รูปที่ 3)

กราฟของ RS เทียบกับ CLOAD สำหรับจุดสูงสุด 2 dB

รูปที่ 3: RS เทียบกับ โหลดC สำหรับจุดสูงสุด 2 dB สำหรับวงจรของรูปที่ 2 ที่อัตราขยายแบบเดียวกัน แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า ±110 V และ Vออก = 100 Vp-p (แหล่งที่มาของภาพ: Analog Devices)

ถ้าแม้ 2 เดซิเบลมีโหลดที่ถึงจุดสูงสุดมากเกินไปสำหรับการใช้งาน ADHV4702-1 รองรับการเสริมจากภายนอกผ่านตัวเก็บประจุที่วางไว้ระหว่างพินเสริมกับกราวด์ ด้วยการเลือกตัวต้านทานและตัวเก็บประจุอย่างเหมาะสม ทำให้มั่นใจได้ถึงความเสถียรกับโหลดที่เป็นตัวเก็บประจุที่มีการตอบสนองที่สม่ำเสมอตลอดแบนด์วิดท์ทั้งหมด (รูปที่ 4)

กราฟการตอบสนองความถี่สัญญาณขนาดเล็กเทียบกับการเสริมจากภายนอกสำหรับ ADHV4702-1

รูปที่ 4: การตอบสนองความถี่สัญญาณขนาดเล็กเมื่อเทียบกับการเสริมจากภายนอกสำหรับ ADHV4702-1 ที่อัตราขยายแบบเดียวกัน การจ่ายที่ ±110 V Vออก = 100 Vp-p , Rf = 0 Ω และ CCOMP = 5.6 พิโกฟารัด (pF) (แหล่งที่มาของภาพ: Analog Devices)

แรงขับกระแสไฟเอาต์พุตเพิ่มเติม: op-amp OPA454AIDDAR ของTexas Instruments ส่ง ±5 V ถึง ±50 V จากแหล่งจ่ายทางเดียว 10 V ถึง 100 V ตามลำดับ อัตรานี้เป็นครึ่งหนึ่งของแรงดันไฟฟ้าเอาต์พุตของ ADHV4702-1 (100 V เทียบกับ 200 V) แต่มีแรงขับกระแสไฟฟ้า >2 เท่า (50 mA เทียบกับ 20 mA) อย่างไรก็ตาม ปริมาณของแหล่งจ่าย/กระแสไฟเพิ่มเติมนี้อาจไม่เพียงพอสำหรับโหลดบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากโหลดประกอบด้วยโหลดที่มีขนาดเล็กหลายตัวต่อแบบขนาน

มีสองตัวเลือกที่จะแก้ไขปัญหานี้สำหรับ OPA454 ขั้นแรก คุณสามารถเชื่อมต่อ OPA454AIDDAR สองตัว (หรือมากกว่า) แบบขนานกันได้ (รูปที่ 5)

ไดอะแกรมของ op-amps OPA454AIDDAR ของ Texas Instruments ต่อแบบขนาน

รูปที่ 5: การวาง op-amps OPA454AIDDAR สองตัวแบบขนานจะเพิ่มความสามารถส่งกระแสไฟเอาต์พุตให้เสถียร (แหล่งที่มาของภาพ: Texas Instruments)

แอมพลิฟายเออร์ A1 ทำหน้าที่เป็นแอมพลิฟายเออร์หลัก และสามารถกำหนดค่าสำหรับการตั้งค่า op-amp ใด ๆ ได้ทั้งหมด ไม่ใช่แค่เป็นหน่วยขยายตามพื้นฐาน แอมพลิฟายเออร์ A2 ซึ่งอาจจะมีแค่ตัวเดียวหรือหลายตัวก็ได้ จะเป็นหน่วยย่อย มันถูกกำหนดค่าเป็นบัฟเฟอร์ส่วนขยายแบบเดียวกันโดยที่จะคอยตามเอาต์พุตของ A1 ในขณะที่ช่วยเพิ่มแรงขับให้กระแสไฟฟ้า

อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการรับกระแสได้มากขึ้นกว่าที่แอมพลิฟายเออร์ตัวเดียวหรือหน่วยย่อยหลายตัวจะสามารถจ่ายได้ คือการใช้ทรานซิสเตอร์เพิ่มกระแสไฟเอาต์พุตจากภายนอก (รูปที่ 6)

ไดอะแกรมของการใช้ทรานซิสเตอร์จากภายนอก (คลิกเพื่อดูภาพขยาย)

รูปที่ 6: อีกทางเลือกหนึ่งในการวางอุปกรณ์ OPA454 แบบขนาน คือการใช้ทรานซิสเตอร์เอาต์พุตจากภายนอก สิ่งนี้สามารถบรรลุผลให้ได้กระแสไฟเอาต์พุตที่สูงขึ้น ที่นี้ พวกเขาจะสามารถเพิ่มกระแสไฟเอาต์พุตได้มากกว่า 1 แอมป์ (แหล่งที่มาของภาพ: Texas Instruments)

การใช้ทรานซิสเตอร์ตามที่แสดง การกำหนดค่าสามารถจ่ายไฟได้มากกว่า 1 แอมป์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต่างจากการใช้ op-amps OPA454 เพิ่มเติม คือคู่ทรานซิสเตอร์เสริมอาจไม่ได้ให้ประสิทธิภาพต่อการป้องกันความบิดเบือนให้อยู่ในระดับและความเสถียรตามที่ต้องการ หากจำเป็นต้องใช้กระแสไฟฟ้าที่สูงกว่านี้และทรานซิสเตอร์เป็นโซลูชันที่ต้องการ อาจต้องใช้คู่ทรานซิสเตอร์ PNP/NPN เสริมที่เข้ากันได้

ค่าสัมประสิทธิ์อุณหภูมิ (tempco) และการเบี่ยงเบน: เช่นเดียวกับอุปกรณ์อนาล็อกทั้งหมด tempco ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความแม่นยำ และการเบี่ยงเบนของอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปของอินพุต (dVOS /dT) จากส่วนของเอาต์พุตหลังจากถูกขยาย สำหรับ OPA454 คุณสมบัติของ dVOS /dT ค่อนข้างต่ำที่ ±1.6 μV/°C (โดยทั่วไป) และ ±10 μV/°C (สูงสุด) ในช่วงอุณหภูมิแวดล้อมที่ระบุไว้ที่ –40°C ถึง +85°C

หากตัวเลขนี้มากเกินไป ให้ทำการเพิ่ม op-amp ที่เรียกว่า "zero-drift" เป็นแอมพลิฟายเออร์ตัวตั้งต้นก่อนใช้ OPA454 สำหรับไฟฟ้าแรงสูงก็จะช่วยลดการเบี่ยงเบนโดยรวมได้ (รูปที่ 7) ด้วย OPA735 ของ Texas Instruments ถูกวางให้เป็นแอมพลิฟายเออร์ตัวตั้งต้นแบบ zero-drift การเบี่ยงเบน tempco ของแอมพลิฟายเออร์สำหรับไฟฟ้าแรงสูงสามารถรักษาไว้ได้ที่ 0.05 μV/°C (สูงสุด) ของการเบี่ยงเบนในครั้งแรก โดยให้ค่าตัวคูณลดที่ 200

ไดอะแกรมของ op-amp near-zero-drift รุ่น OPA735 ของ Texas Instruments

รูปที่ 7: การเพิ่ม p-amp near-zero-drift รุ่น OPA735 ในพาธอินพุตของ OPA454 ส่งผลในสองส่วน วงจรไฟฟ้าแรงสูงกับค่าความเบี่ยงเบนอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปของเอาต์พุตที่ต่ำมาก (แหล่งที่มาของภาพ: Texas Instruments)

ปัญหาด้านความร้อนและการป้องกัน

แม้ว่าระดับกระแสไฟอาจจะมีไม่มากนัก แต่การกระจายภายในเนื่องจากแรงดันไฟฟ้าที่สูงขึ้นอาจเป็นปัญหาได้ ตามสมการ กำลัง = แรงดัน x กระแส การสร้างแบบจำลองความร้อนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเริ่มจากสมการพื้นฐานของอุณหภูมิที่จุดเชื่อมต่อ: TJ = TA + (PD × ΘJA) โดยที่ TJ คือ อุณหภูมิที่จุดเชื่อมต่อ TA คืออุณหภูมิแวดล้อม PD คือการกระจายกำลังไฟฟ้า และ ΘJA คือความต้านทานความร้อนของบรรจุภัณฑ์ต่อสภาพแวดล้อม ส่วนต่อมาถูกกำหนดโดยเทคนิคการติดตั้งและสภาพแวดล้อม รวมถึงการระบายความร้อน การไหลของอากาศ และแผ่นปริ้น

โดยตระหนักถึงความสำคัญและความร้อนที่เกิดขึ้น ICs เช่น OPA454 และ ADHV4702-1 ซึ่งรวมวงจรปิดกั้นความร้อน ตัวอย่างเช่น วงจรใน OPA454 มีตัวตัดความร้อนโดยอัตโนมัติ เมื่อบริเวณเอาต์พุตเข้าสู่สถานะเกิดความต้านทานสูง เมื่ออุณหภูมิอุปกรณ์ภายในสูงถึง 150°C โดยระบบตัดความร้อนจะยังคงทำงานจนกว่าจะเย็นลงถึง 130°C จากนั้นอุปกรณ์จึงกลับมาทำงาน ฮิสเทรีซิสนี้ป้องกันการเปิด/ปิดการแกว่งของสัญญาณเอาต์พุตตามขีดจำกัดของความร้อน

ข้อจำกัดของการกระจายไม่ได้เป็นเพียงฟังก์ชันให้กำลังที่จ่ายออกมาคงที่เท่านั้น แต่ยังได้รับผลกระทบจากความถี่ในการทำงานและสลูว์เรทด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้ส่วนเอาต์พุตมีความร้อนมากเกินไป สิ่งสำคัญคือต้องศึกษากราฟพื้นที่ปฏิบัติการที่ปลอดภัย (SOA) สำหรับแรงขับใด ๆ โดยที่เริ่มต้นด้วย SOA แบบอยู่กับที่ของ ADHV4702-1 (รูปที่ 8)

รูปภาพกราฟพื้นที่ปฏิบัติการที่ปลอดภัย (SOA)

รูปที่ 8: สิ่งสำคัญคือต้องศึกษากราฟพื้นที่ปฏิบัติการที่ปลอดภัย (SOA) SOA ไฟฟ้า DC ของ ADHV4702-1 แสดงโดยพื้นที่ใต้เส้นโค้ง ที่อุณหภูมิแวดล้อม 25⁰C และ 85⁰C โดยมีอัตราขยาย 20 V และการจ่ายไฟ ±110 โวลต์ (แหล่งที่มาของภาพ: Analog Devices)

SOA แบบไดนามิกก็ต้องพิจารณาเช่นกัน ADHV4702-1 มีวงจรเพิ่มสลูว์เรทภายในเพื่อให้ได้แบนด์วิดท์สัญญาณขนาดเล็ก 19 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) และสลูว์เรท 74 V/ไมโครวินาที (µs) แต่วงจรเพิ่มกำลังนี้อาจใช้กระแสไฟจำนวนมากขึ้น ขึ้นอยู่กับสัญญาณ ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถใช้ไดโอดภายนอกกับ ADHV4702-1 เพื่อใช้การจำกัดส่วนต่างของแรงดันไฟอินพุต (รูปที่ 9)

ไดอะแกรมของไดโอดภายนอกที่อินพุตของ ADHV4702-1 จาก Analog Devices

รูปที่ 9: ไดโอดภายนอกที่อินพุตของ ADHV4702-1 จะปกป้องอุปกรณ์จากผลกระทบทางความร้อนจากกระแสไฟสูงของวงจรเพิ่มกำลังโดยการจำกัดส่วนต่างของแรงดันไฟฟ้าอินพุต (แหล่งที่มาของภาพ: Analog Devices)

สิ่งนี้จะปกป้องแอมพลิฟายเออร์ในการทำงานแบบไดนามิก แต่จำกัดสลูว์เรทและแบนด์วิดท์สัญญาณขนาดใหญ่ และดังนั้นทำให้จำกัดกระแสไฟที่เกิดจากวงจรเพิ่มสลูว์เรทและลดการกระจายพลังงานภายในลง (รูปที่ 10)

กราฟของ SOA แบบไดนามิกที่อุณหภูมิแวดล้อม 25°C และ 85°C

รูปที่ 10: SOA แบบไดนามิกที่อุณหภูมิแวดล้อม 25°C และ 85°C โดยมีและไม่มีไดโอดแคลมป์ ภายใต้สภาวะเดียวกันกับ SOA แบบอยู่กับที่ (แหล่งที่มาของภาพ: Analog Devices)

ไดรเวอร์ไฟฟ้าแรงสูงบางตัวไม่มีระบบป้องกันความร้อน เนื่องจาก SOA ที่กว้างทำให้วงจรภายในมีข้อจำกัดมากเกินไป ตัวอย่างเช่น PA52 จาก Apex Microtechnology เป็นแอมพลิฟายเออร์ไฟฟ้ากำลังสูงสำหรับไฟฟ้าแรงสูงที่สามารถส่งได้ถึง 4 แอมป์ (ต่อเนื่อง) /80 แอมป์ (สูงสุด) ที่สลูว์เรท 50 V/µs การสวิงแรงดันไฟขั้วเดียวหรือสองขั้วที่ 200 V เนื่องจากระดับการกระจายอาจจะสูงมาก แผนภูมิ SOA ของอุปกรณ์นี้จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการออกแบบระบบ ซึ่งครอบคลุมทั้งโหมดไฟฟ้า DC และโหมดพัลส์ (รูปที่ 11)

ภาพของ SOA สำหรับแอมพลิฟายเออร์ไฟฟ้าแรงดันสูง (±100 V) กระแสไฟแรงสูง (80/40 แอมป์)

รูปที่ 11: SOA สำหรับแอมพลิฟายเออร์ไฟฟ้าแรงดันสูง (±100 V) กระแสไฟแรงสูง (80/40 แอมป์) เช่น PA52 จาก Apex Microtechnology จะแตกต่างกันไปตามช่วงกว้างขึ้นอยู่กับว่าทำงานในโหมดคงที่หรือโหมดพัลส์ (แหล่งที่มาของภาพ: Apex Microtechnology)

สำหรับ PA52 นักออกแบบมักจะต้องการเพิ่มตัวต้านทานตรวจจับกระแสไฟฟ้าด้านสูงจากภายนอกระหว่างเอาต์พุตและโหลดเพื่อวัดกระแสไฟเอาต์พุตและประเมินกำลัง การกำหนดขนาดตัวต้านทานนี้มักจะเป็นการพิจารณาระหว่างค่าความต้านทานสูงกับค่าความต้านทานที่ต่ำกว่า ความต้านทานที่สูงขึ้นให้สัญญาณที่ใหญ่ขึ้นและอัตราส่วนสัญญาณต่อสัญญาณรบกวน (SNR) ที่สูงขึ้นด้วย ในขณะที่ความต้านทานที่ต่ำกว่าจะลดการกระจายตัวของตัวต้านทานและลดกำลังเอาต์พุตที่ใช้ส่งไปด้วย

จุดเริ่มต้นที่ดีคือการเลือกค่าตัวต้านทาน เพื่อให้แรงดันไฟฟ้าที่ถูกพัฒนาขึ้นข้ามเป็น 100 mV ที่กระแสไฟโหลดสูงสุด นอกจากนี้ วงจรตรวจจับจะต้องเข้ากันได้กับแรงดันไฟฟ้าโหมดปกติ (CMV) ที่มีแรงสูง ในกรณีส่วนใหญ่ วงจรตรวจจับที่แยกออกมาเป็นสิ่งจำเป็นด้วยเหตุผลหลายประการ: ตรวจจับความสมบูรณ์ของสัญญาณ ปกป้องส่วนที่เหลือของวงจร และความปลอดภัยของผู้ใช้

ปัญหาด้านแหล่งจ่ายและข้อบังคับ

แอมพลิฟายเออร์ไฟฟ้าแรงสูงเป็นมากกว่าพิมพ์เขียวและรายการส่วนประกอบ เนื่องจากลักษณะของเลย์เอาต์ทางกายภาพกลายเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับวงจรที่ทำงานสูงกว่า 60 V จะมีประเด็นและมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการใช้งาน (ค่าจริงขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานปลายทาง และประเทศ/ภูมิภาค) สำหรับการออกแบบที่มีแรงดันไฟฟ้าสูงกว่านี้ ผู้ใช้ต้องตัดสินใจถึงวิธีการแยกแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่าออกจากแรงดันไฟฟ้าที่ต่ำกว่าและปลอดภัยกว่า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับวิธีการทางกลศาสตร์อย่างน้อยหนึ่งวิธี เช่น สิ่งกีดขวาง อินเตอร์ล็อค ฉนวน หรือการเว้นระยะห่าง

นอกจากนี้ เลย์เอาต์ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับด้านขนาดของระยะคืบและระยะห่างขั้นต่ำสำหรับส่วนประกอบและร่องของแผงวงจร เพื่อไม่ให้เกิดการอาร์คและประกายไฟ ขนาดเหล่านี้เป็นฟังก์ชั่นของแรงดันไฟฟ้าและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ควรจะเป็น (ความชื้นและฝุ่นเทียบกับสภาพแวดล้อมที่สะอาดและแห้ง) ควรใช้ที่ปรึกษาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเหล่านี้ เนื่องจากมาตรฐานมีความซับซ้อนและมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย ในขณะที่กระบวนการอนุมัติอย่างเป็นทางการต้องใช้ทั้งการวิเคราะห์เลย์เอาต์การออกแบบ การก่อสร้าง วัสดุ ขนาด และวัสดุ ตลอดจนแบบตัวอย่างจำลองสำหรับการทดสอบ

โดยหลักการแล้ว แหล่งจ่ายไฟ AC/DC หรือ DC/DC จากแรงดันไฟต่ำไปสูงนั้นตรงไปตรงมา และสามารถสร้างได้โดยใช้วงจรเรียงกระแสแบบเต็มคลื่น (สำหรับไฟฟ้า AC) พร้อมกับวงจรทวีแรงดันไฟฟ้าที่ประกอบด้วยไดโอดและตัวเก็บประจุ อย่างไรก็ตาม มีปัญหาในทางปฏิบัติมากมายในการออกแบบการจ่ายไฟฟ้าแรงสูง เช่น การทำให้แน่ใจว่าอุปกรณ์แบบพาสซีฟเหล่านี้มีพิกัดแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสม

แม้แต่ตำแหน่งของแหล่งจ่ายไฟก็เป็นปัญหา ในรูปแบบการใช้งานที่มีเฉพาะแหล่งจ่ายแรงดันไฟต่ำเท่านั้น (ตามขนาดสิบโวลต์หรือน้อยกว่า) อาจเหมาะสมที่จะเดินสายไฟที่มีแรงดันต่ำไปยังวงจรทวีแรงดันที่ถูกบล็อกไว้ซึ่งอยู่ใกล้กับฟังก์ชัน op-amp สำหรับไฟฟ้าแรงสูง อย่างไรก็ตาม การดึงกระแสที่แรงดันไฟต่ำหมายถึงความต้านทานกระแสไฟ (IR) เพิ่มเติมลดลง และสูญเสียกำลัง I2R ในสายไฟเหล่านั้น และอาจมีข้อดีมากกว่าการแยกสาย อีกทางเลือกหนึ่งคือการเดินสายไฟฟ้าแรงสูงเป็นช่วงระยะทาง ซึ่งช่วยลดการสูญเสียแต่เพิ่มความปลอดภัยและข้อจำกัดด้านข้อบังคับ

การทำเองเทียบกับการตัดสินใจซื้อ

โดยไม่คำนึงถึงที่ตั้ง เว้นแต่ว่าทีมออกแบบจะมีความรู้และประสบการณ์มากพอ การซื้อแหล่งจ่ายไฟแรงสูงน่าจะเหมาะสมมากกว่าที่จะพยายามออกแบบและสร้างเอง มีปัญหามากมายเกี่ยวกับแหล่งจ่ายไฟเหล่านี้และการขอรับการรับรองทำได้ยาก แหล่งจ่ายไฟทำได้มากกว่าแค่ให้กำเนิดแรงดันไฟฟ้าอินพุตและแปลงแรงดันนั้นเป็นเอาต์พุตที่ต้องการ แต่ยังรวมถึงคุณสมบัติเหล่านี้อีกด้วย

  • ต้องทำงานได้อย่างถูกต้องและเสถียร
  • ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของประสิทธิภาพในการเกิดการกระเพื่อมและไฟกระชาก
  • ควรรวมคุณสมบัติการป้องกันและการตัดระบบต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน
  • ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน EMI
  • นอกจากนี้ยังอาจจำเป็นต้องมีการแยกกัลวานิก

มีแหล่งจ่ายไฟแรงสูงที่มีจำหน่ายอยู่มากมายตั้งแต่รุ่นกระแสไฟต่ำไปจนถึงแบบที่สามารถจ่ายกระแสไฟได้หลายแอมแปร์หรือมากกว่า ตัวอย่างเช่น FS02-15 จากแผนกไฟฟ้าแรงสูง EMCO ของXP Power เป็นโมดูลไฟฟ้าแรงสูงแบบแยกส่วนที่ใช้ติดตั้งบนแผ่นปริ้น (รูปที่ 12) ขนาดยาว 2.25 นิ้ว × กว้าง 1.1 นิ้ว × สูง 0.5 นิ้ว (57 มิลลิเมตร (มม.) × 28.5 มม. × 12.7 มม.) ทำงานโดยใช้แหล่งจ่ายไฟ DC 15 โวลต์ และจ่ายไฟ 200 V (±100 V) ที่ 50 mA โมดูลนี้ตรงตามข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพและข้อบังคับทั้งหมด ในขณะเดียวกันก็รวมเอาคุณลักษณะที่ตรงตามมาตรฐานและคาดหวังไว้ในแหล่งจ่ายไฟไว้อย่างครบถ้วน

ภาพของแหล่งจ่ายไฟสำเร็จรูป เช่น FS02-15 จาก XP Power

รูปที่ 12: อุปกรณ์สิ้นเปลืองที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เช่น FS02-15 จาก XP Power ซึ่งส่ง ±100 V ที่ 50 mA จากรางจ่ายไฟ 12 โวลต์ ขจัดปัญหาด้านการออกแบบและกฎข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการให้กำลังแยกกันได้อย่างปลอดภัยของ op-amps สำหรับไฟฟ้าแรงสูง (แหล่งที่มาของภาพ: XP Power)

สรุป

op-amp สำหรับไฟฟ้าแรงสูงมีความจำเป็นในระบบอิเล็กทรอนิกส์หลายประเภท ซึ่งรวมถึงเครื่องมือวัด ยา ฟิสิกส์ ทรานสดิวเซอร์เพียโซอิเล็กทริก เลเซอร์ไดโอด และอื่น ๆ ในขณะที่นักออกแบบสามารถเปลี่ยนไปใช้ op-amps ที่มีความเข้ากันได้กับแรงดันไฟฟ้าเหล่านี้ คุณลักษณะและข้อจำกัดของอุปกรณ์ต้องมีการทำความเข้าใจให้ชัดเจนถึงประสิทธิภาพ ความร้อน กฎข้อบังคับ และความปลอดภัยในการทำงานที่แรงดันไฟ >100 โวลต์

DigiKey logo

Disclaimer: The opinions, beliefs, and viewpoints expressed by the various authors and/or forum participants on this website do not necessarily reflect the opinions, beliefs, and viewpoints of DigiKey or official policies of DigiKey.

About this author

Image of Bill Schweber

Bill Schweber

Bill Schweber เป็นวิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ที่เขียนตำราเกี่ยวกับระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์สามเล่ม รวมถึงบทความทางเทคนิค คอลัมน์ความคิดเห็น และคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์หลายร้อยฉบับ ในบทบาทที่ผ่านมาเขาทำงานเป็นผู้จัดการเว็บไซต์ด้านเทคนิคสำหรับไซต์เฉพาะหัวข้อต่าง ๆ สำหรับ EE Times รวมทั้งบรรณาธิการบริหารและบรรณาธิการอนาล็อกที่ EDN

ที่ Analog Devices, Inc. (ผู้จำหน่าย IC แบบอะนาล็อกและสัญญาณผสมชั้นนำ) Bill ทำงานด้านการสื่อสารการตลาด (ประชาสัมพันธ์) ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยู่ในทั้งสองด้านของฟังก์ชั่นประชาสัมพันธ์ด้านเทคนิคนำเสนอผลิตภัณฑ์เรื่องราวและข้อความของบริษัทไปยังสื่อและยังเป็นผู้รับสิ่งเหล่านี้ด้วย

ก่อนตำแหน่ง MarCom ที่ Analog Bill เคยเป็นบรรณาธิการของวารสารทางเทคนิคที่ได้รับการยอมรับและยังทำงานในกลุ่มวิศวกรรมด้านการตลาดผลิตภัณฑ์และแอปพลิเคชันอีกด้วย ก่อนหน้าที่จะมีบทบาทเหล่านั้น Bill อยู่ที่ Instron Corp. ซึ่งทำการออกแบบระบบอนาล็อกและวงจรไฟฟ้าและการรวมระบบสำหรับการควบคุมเครื่องทดสอบวัสดุ

เขาจบทางด้าน MSEE (Univ. of Mass) และ BSEE (Columbia Univ.) เป็นวิศวกรวิชาชีพที่ลงทะเบียนและมีใบอนุญาตวิทยุสมัครเล่นขั้นสูง Bill ยังได้วางแผนเขียนและนำเสนอหลักสูตรออนไลน์ในหัวข้อวิศวกรรมต่าง ๆ รวมถึงพื้นฐานของ MOSFET, การเลือก ADC และการขับไฟ LED

About this publisher

DigiKey's North American Editors