วิธีการและเหตุผลไมโครคอนโทรลเลอร์ช่วยให้เข้าถึง Edge AI ได้อย่างเท่าเทียม

By Poornima Apte

Contributed By DigiKey's North American Editors

Edge AI มีความนิยมเพิ่มมากขึ้นในเวลาหลายปีที่ผ่านมา คาดว่าตลาดโลกที่เกี่ยวข้อง จะเติบโตในอัตราทบต้นต่อปี 27.8% จนถึงปี 2035 และเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าสุทธิ 356.84 พันล้านดอลลาร์

มีปัจจัยหลายประการที่เป็นแรงกระตุ้นสิ่งนี้ การประมวลผลข้อมูลที่ระดับเอดจ์จะช่วยแก้ไขข้อกังวลด้านความปลอดภัยที่บริษัทต่างๆ อาจมีเกี่ยวกับการกำหนดเส้นทางข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือเป็นกรรมสิทธิ์ไปยังคลาวด์ การประมวลผลระดับเอดจ์ยังช่วยลดเวลาแฝง ซึ่งอาจมีความสำคัญในการใช้งานแบบเรียลไทม์ที่ต้องมีการตัดสินใจภายในเสี้ยววินาที อุปกรณ์ Industrial IoT (IIoT) ให้การดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งจะช่วยเพิ่มการใช้งาน Edge AI การใช้งานที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่อุปกรณ์การแพทย์พกพาไปจนถึงอุปกรณ์สวมใส่และ IIoTกำลังส่งเสริมให้ตลาดสำหรับ AI ระดับเอดจ์เติบโตขึ้น

เนื่องจากเทคโนโลยีมีความนิยมมากขึ้น ความต้องการส่วนประกอบที่สามารถจัดการกับความต้องการประมวลผลข้อมูลในระบบฝังตัวจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ตัวเลือกการประมวลผลการคำนวณ: ไมโครคอนโทรลเลอร์หรือไมโครโปรเซสเซอร์

อุปกรณ์ IoT ส่วนใหญ่ที่ใช้งานในปัจจุบันในอุตสาหกรรมและอุปกรณ์ฝังตัวอื่นๆ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานต่ำและมีหน่วยความจำน้อยมาก โดยพลังการประมวลผลที่อุปกรณ์เหล่านี้มาจากไมโครคอนโทรลเลอร์ฝังตัวขนาดเล็ก (MCU) MCU เหล่านี้มีสถาปัตยกรรมที่ใช้พลังงานต่ำที่ช่วยให้ระบบฝังตัวมีประสิทธิภาพด้านต้นทุนได้มากกว่าระบบที่ใช้ไมโครโปรเซสเซอร์

จนกระทั่งถึงการกำเนิดของ Edge AI, MCU ที่ตอบสนองความต้องการการประมวลผลของอุปกรณ์ IoT ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม MCU แบบดั้งเดิมมักจะไม่สามารถส่งมอบพลังการประมวลผลที่จำเป็นสำหรับอัลกอริทึมการเรียนรู้ของเครื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นคุณลักษณะเด่นของ Edge AI ได้ โดยทั่วไปอัลกอริทึมดังกล่าวทำงานบนหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) และไมโครโปรเซสเซอร์ที่มีพลังประมวลผลสูงกว่า อย่างไรก็ตาม การใช้ส่วนประกอบเหล่านี้ก็มีข้อเสียเช่นกัน เช่น ปริมาณพลังงานที่ใช้ ซึ่งไมโครโปรเซสเซอร์หรือ GPU ไม่ใช่โซลูชันที่ประหยัดพลังงานที่สุด ผลที่ได้คือการประมวลผลระดับเอดจ์ที่ขับเคลื่อนด้วยไมโครโปรเซสเซอร์อาจไม่เหมาะกับ Edge AI ทั้งหมด และผู้จำหน่ายจึงเลือกที่จะใช้ MCU แทน

MCU แบบสแตนด์อโลนมีราคาถูกกว่า GPU และไมโครโปรเซสเซอร์ ในการปรับขนาดของ Edge AI จำเป็นต้องมีการใช้ประโยชน์จากข้อดีของ MCU มากขึ้น เช่น ต้นทุนต่ำและการใช้พลังงานต่ำ พร้อมทั้งต้องเพิ่มพลังการประมวลผลด้วย

ในหลายปีที่ผ่านมา มีปัจจัยบางประการมาร่วมกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ MCU ที่ระดับเอดจ์

สิ่งที่ช่วยสนับสนุนการใช้งาน MCU ที่ระดับเอดจ์

แม้ว่าสมมติฐานทั่วไปจะอนุมานว่า MCU แบบดั้งเดิมนั้นมีไม่เหมาะสำหรับการประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ AI แต่การเปลี่ยนแปลงทั้งในการออกแบบ MCU และในระบบนิเวศเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นกำลังกระตุ้นการนำมาใช้ในการใช้งาน Edge AI

ปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่ :

  • การใช้ AI accelerators ใน MCU: เมื่อ MCU เพียงตัวเดียวพยายามที่จะตอบสนองความต้องการการประมวลผลระดับเอดจ์ การรวมเข้ากับตัวเร่งความเร็ว AI/ML เช่น หน่วยประมวลผลประสาท (NPU) หรือโปรเซสเซอร์สัญญาณดิจิทัล (DSP) จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน

    ตัวอย่างเช่น CPU ซีรีส์ STM32N6 (รูปที่ 1) จาก STMicroelectronics ใช้ Arm Cortex-M55 rทำงานที่ความถี่ 800 MHz โดยเทคโนโลยีการประมวลผลเวกเตอร์ Arm Helium นำความสามารถในการประมวลผล DSP ให้กับ CPU มาตรฐาน STM32N6 เป็น STM32 MCU ตัวแรกที่ฝัง ST Neural-ART Accelerator ไว้ ซึ่งเป็น NPU ที่พัฒนาขึ้นภายในองค์กรสำหรับ Edge AI อันทรงพลัง

รูปภาพ STMicroelectronics STM32N6 MCU สำหรับการใช้งาน Edge AI ประหยัดพลังงานรูปที่ 1: STM32N6 เป็น STM32 MCU ที่ฝัง ST Neural-ART Accelerator ซึ่งเป็น Neural Processing Unit (NPU) ที่พัฒนาขึ้นภายในบริษัท โดยออกแบบมาสำหรับการใช้งาน Edge AI mujประหยัดพลังงาน (แหล่งที่มาภาพ: STMicroelectronics)

  • โมเดล AI ที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการประมวลผลระดับเอดจ์: อัลกอริทึม AI และการเรียนรู้ของเครื่องที่ใช้งานหนักไม่สามารถโอนไปยัง MCU ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งจำเป็นต้องปรับให้เหมาะสมสำหรับทรัพยากรคอมพิวเตอร์ที่มีข้อจำกัด สถาปัตยกรรม AI แบบกะทัดรัด เช่น TinyML และ MobileNet ทำสิ่งนั้นร่วมกับเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยให้ MCU ที่ระดับเอดจ์สามารถใช้อัลกอริทึม AI ได้ STMicroelectronics เปิดตัว STM32Cube.AI ซึ่งเป็นโซลูชันซอฟต์แวร์ที่แปลงนิวรอนเน็ตเวิร์คให้เป็นรหัส C ที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับ STM32 MCU โดยการใช้โซลูชันร่วมกับ STM32N6 ช่วยให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพที่จำเป็นสำหรับการใช้งาน Edge AI แม้จะมีข้อจำกัดด้านการประมวลผลและหน่วยความจำ
  • การเพิ่มขึ้นของระบบนิเวศ AI: การมีส่วนประกอบฮาร์ดแวร์ที่สามารถประมวลผลที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ระดับเอดจ์เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ การใช้อัลกอริธึม AI ที่ระดับเอดจ์ต้องมีระบบนิเวศที่เป็นมิตรกับนักพัฒนาซึ่งจะช่วยให้การปรับใช้ AI ง่ายขึ้น โดยเครื่องมือเฉพาะ เช่น TensorFlow Lite สำหรับไมโครคอนโทรลเลอร์ ช่วยส่งมอบโซลูชั่นดังกล่าว คอมมูนิตี้โอเพ่นซอร์สเช่น Hugging Face และแพลตฟอร์มอื่นๆ นำเสนอโมเดลและไลบรารีโค้ดที่ได้รับการเทรนไว้ล่วงหน้าที่นักพัฒนาสามารถทดสอบและปรับแต่งให้เหมาะสำหรับการใช้งานเฉพาะของตนได้ โดยระบบนิเวศ AI ดังกล่าวลดอุปสรรคสำหรับการนำเทคโนโลยีมาใช้และสร้างความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงแม้แต่สำหรับธุรกิจที่ขาดแคลนทรัพยากรซึ่งอาจไม่สามารถพัฒนาโมเดล AI ที่เป็นกรรมสิทธิ์ตั้งแต่เริ่มต้นได้

    STMicroelectronics มีระบบนิเวศฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ นั่นก็คือ ST Edge AI Suite สำหรับโซลูชัน Edge AI ที่ได้รับการปรับให้เหมาะสม ชุดโปรแกรมนี้รวบรวมไลบรารีและเครื่องมือ AI ต่างๆ ของ ST ไว้ด้วยกันเพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถค้นหาโมเดล แหล่งข้อมูล เครื่องมือ และคอมไพเลอร์ที่สามารถสร้างโค้ดสำหรับไมโครคอนโทรลเลอร์ได้ง่ายขึ้น

    โมเดลที่ได้รับการเทรนล่วงหน้าในแหล่งรวมโมเดลเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับนักพัฒนา โมเดลเหล่านี้ใช้รูปแบบ Open Neural Network Exchange (ONNX) ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดในการแสดงโมเดลการเรียนรู้ของเครื่องในด้านต่างๆ เช่น Computer Vision (CV), Natural Language Processing (NLP), Generative AI (GenAI) และการเรียนรู้ของเครื่องแบบกราฟ

  • โค้ดสำหรับการสร้างมาตรฐานและการทำงานร่วมกัน: แม้ว่าระบบนิเวศ AI ช่วยให้บริษัทต่างๆ ทดสอบการใช้งาน AI ขั้นสูงได้ แต่รูปแบบโมเดลแบบเปิดและเป็นมาตรฐานก็ช่วยให้การบูรณาการระหว่างระบบฮาร์ดแวร์ต่างๆ ราบรื่นยิ่งขึ้น โดยความเข้ากันได้ระหว่างเครื่องมือซอฟต์แวร์และ MCU ช่วยลดอุปสรรคในการนำ AI ไปใช้
  • ใส่ใจต่อความปลอดภัยที่ระดับเอดจ์: ในขณะที่ MCU จะขจัดหรืออย่างน้อยก็ลดความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลบนคลาวด์ ซึ่งส่วนประกอบฮาร์ดแวร์ยังให้ระดับความปลอดภัยเพิ่มเติมอีกด้วย โดยทั่วไปแล้วจะมีคุณสมบัติเช่น การเข้ารหัสฮาร์ดแวร์และการบูตอย่างปลอดภัย ซึ่งจะปกป้องทั้งข้อมูลและโมเดล AI จากผู้ไม่ประสงค์ดี

คุณสมบัติที่น่าสนใจของฮาร์ดแวร์ STM32N6

ซีรีส์ STM32N6 ประกอบด้วย MCU ประสิทธิภาพสูงพร้อม NPU ชุดโมดูลกล้อง และชุดตัวอย่าง ซีรีย์นี้ใช้สถาปัตยกรรม ARM Cortex-M ทั่วไปและมีคุณสมบัติหลักหลายประการที่ทำให้อุปกรณ์เหล่านี้เหมาะกับ AI ระดับเอดจ์ ได้แก่:

  • Neural ART Accelerator ซึ่งสามารถรันแบบจำลองนิวรอนเน็คเวิร์คได้ ซึ่งได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับอัลกอริทึม AI เชิงเข้มข้น มีความถี่อยู่ที่ 1 GHz และให้ GOPS 600 โดยมีประสิทธิภาพพลังงานเฉลี่ย 3 TOPS/W
  • รองรับคำสั่ง “Helium” M-profile Vector Extension (MPVE) ซึ่งเป็นชุดคำสั่ง ARM ที่ทำให้สามารถใช้งานเครือข่ายประสาทและฟังก์ชัน DSP ที่มีประสิทธิภาพได้ คำสั่งเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำงานกับตัวเลขทศนิยมขนาด 16 บิตและ 32 บิต โดยช่วยให้สามารถจัดการตัวเลขความแม่นยำต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความสำคัญต่อการประมวลผลโมเดล ML
  • ST Edge AI Suite คลังเครื่องมือซอฟต์แวร์ฟรี เคสการใช้งาน และเอกสารประกอบที่ช่วยให้นักพัฒนาทุกระดับประสบการณ์สร้าง AI สำหรับ Intelligent Edge ชุดโปรแกรมนี้ยังรวมถึงเครื่องมือต่างๆ เช่น ST Edge AI Developer Cloud ที่มีนิวรอนเน็ตเวิร์คเทียมเฉพาะใน STM32 Model Zoo ฟาร์มบอร์ดสำหรับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพในโลกแห่งความเป็นจริง และอื่นๆ อีกมากมาย
  • หน่วยสะสมหลายค่าที่กำหนดค่าได้เกือบ 300 หน่วยและบัสหน่วยความจำ AXI 64 บิตสองตัวสำหรับปริมาณงาน 600 GOPS
  • โปรเซสเซอร์สัญญาณภาพเฉพาะในตัว (ISP) ที่สามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับกล้อง 5 เมกะพิกเซลหลายตัวได้ โดยในการสร้างระบบที่รวมกล้องไว้ นักพัฒนาจะต้องปรับแต่ง ISP ให้เหมาะกับเซ็นเซอร์กล้อง CMOS เฉพาะและเลนส์ของกล้องนั้นๆ ซึ่งการปรับแต่งโดยทั่วไปต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือความช่วยเหลือจากบุคคลที่สาม โดย ST ได้มีซอฟต์แวร์เดสก์ท็อปพิเศษให้กับนักพัฒนาที่เรียกว่า iQTune เพื่อจุดประสงค์นี้ ซอฟต์แวร์นี้ทำงานบนเวิร์กสเตชัน Linux และสื่อสารกับโค้ดที่ฝังไว้ใน STM32 และวิเคราะห์ความแม่นยำของสี คุณภาพของภาพ และสถิติ และกำหนดค่ารีจิสเตอร์ของ ISP อย่างเหมาะสม
  • รองรับ MIPI CSI-2 ซึ่งเป็นอินเทอร์เฟซกล้องที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการใช้งานในอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยไม่ต้องใช้ ISP ภายนอกที่เข้ากันได้กับอินเทอร์เฟซแบบอนุกรมของกล้องรุ่นนี้โดยเฉพาะ
  • ความสามารถเพิ่มเติมมากมายบนอุปกรณ์เดียวหมายความว่าตอนนี้ผู้พัฒนาสามารถรันนิวรอนเน็ตเวิร์คร่วมกับ GUI ได้โดยไม่ต้องใช้ MCU หลายตัว
  • ความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง รวมถึงการรับรอง Target SESIP ระดับ 3 และ PSA ระดับ 3

บทสรุป

การเรียนรู้ของเครื่องที่ทำงานบนเอดจ์เคยต้องใช้ไมโครโปรเซสเซอร์สำหรับงานหนักในระบบฝังตัวเพื่อรองรับภาระในเรียกใช้การอัลกอริทึมที่ซับซ้อน ด้วย MCU อันทรงพลัง เช่น CPU ซีรีส์ STM33N6 จาก STMicroelectronics บริษัทต่างๆ จึงสามารถทำให้ AI แพร่หลายในระดับเอดจ์ได้แล้ว STMicroelectronics ให้ระบบนิเวศที่ครอบคลุมสำหรับการใช้งาน AI ระดับเอดจ์ ซึ่งรวมถึงส่วนประกอบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์สำหรับการอนุมาน

DigiKey logo

Disclaimer: The opinions, beliefs, and viewpoints expressed by the various authors and/or forum participants on this website do not necessarily reflect the opinions, beliefs, and viewpoints of DigiKey or official policies of DigiKey.

About this author

Image of Poornima Apte

Poornima Apte

Poornima Apte เป็นวิศวกรที่ผ่านการฝึกอบรมซึ่งผันตัวมาเป็นนักเขียนด้านเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญของเธอครอบคลุมหัวข้อทางเทคนิคมากมาย ตั้งแต่การวิศวกรรม AI IoT ไปจนถึงระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ 5G และความปลอดภัยทางไซเบอร์ การรายงานต้นฉบับของ Poornima เกี่ยวกับชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียที่ย้ายกลับไปอินเดียในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอได้รับรางวัลจากสมาคมนักข่าวเอเชียใต้

About this publisher

DigiKey's North American Editors