ยานยนต์ไร้คนขับจะช่วยพัฒนาความยั่งยืนและเพิ่มผลผลิตในภาคการเกษตรได้อย่างไร

By Jeff Shepard

Contributed By DigiKey's North American Editors

รถแทรกเตอร์ไร้คนขับ โดรน และหุ่นยนต์ปลูกเมล็ดพันธุ์ กำจัดวัชพืช และเก็บเกี่ยวเป็นเทคโนโลยีภายใต้การพัฒนาที่จะพลิกโฉมการเกษตรและช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนอาหารด้วยการพัฒนาความยั่งยืนและเพิ่มผลผลิตของกิจกรรมทางการเกษตร ยานยนต์ไร้คนขับทุกประเภทจะช่วยให้ไม่ต้องมีคนขับรถแทรกเตอร์และเครื่องจักรอื่น ๆ ทำให้พวกเขาสามารถทำกิจกรรมที่มีมูลค่าได้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงการทำการเกษตรแม่นยำสูงซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิต ลดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาความยั่งยืนของการทำการเกษตรโดยจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการขาดแคลนน้ำ การขาดแคลนแรงงาน และข้อจำกัดอื่น ๆ

ในขณะที่โดรนและหุ่นยนต์เพื่อการเกษตรเป็นระบบใหม่ที่ได้รับการพัฒนาและนำมาใช้งานตั้งแต่ต้น แต่รถแทรกเตอร์กลับแตกต่างออกไป โดยที่มักจะมีรถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งมีอายุการใช้งานยาวนาน ผลลัพธ์ที่ได้นอกเหนือจากการพัฒนาการออกแบบใหม่แบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบแล้ว รถแทรกเตอร์ที่มีอยู่จะได้รับการติดตั้งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเพิ่มเติมและอัปเกรดด้วยระบบดิจิทัลเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่งเรียกว่า “การทำรถแทรกเตอร์ดิจิทัล”

บทความนี้กล่าวถึงการพัฒนารถแทรกเตอร์แบบดิจิทัลและรถแทรกเตอร์ไฟฟ้า (e-tractor) ที่เกิดขึ้นใหม่ โดยจะทบทวนความท้าทายในการนำรถแทรกเตอร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติไปใช้ในภาคสนาม และมาดูกันว่าโดรน เซ็นเซอร์บนรถแทรกเตอร์ ตลอดจน AI และ ML ถูกนำมาใช้ในการเกษตรแม่นยำสูงอย่างไร นอกจากนี้ยังกล่าวถึงเทคโนโลยีบางอย่างที่จำเป็นต่อการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับเพื่อการเกษตร และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีมากมายของ DigiKey ซึ่งรวมถึงแมชชีนวิชัน มอเตอร์และการควบคุม ตัวแปลงพลังงาน เซ็นเซอร์และสวิตช์ อินเทอร์เฟซการสื่อสารแบบใช้สายและไร้สาย และสายสัญญาณ สายไฟและคอนเนคเตอร์ต่าง ๆ สามารถช่วยนักออกแบบเร่งกระบวนการพัฒนาของตนได้ บทความนี้ปิดท้ายด้วยการมองไปในอนาคตโดยสังเขป ซึ่งฟาร์มอัตโนมัติเต็มรูปแบบจะถูกควบคุมโดยระบบปฏิบัติการที่ซับซ้อนซึ่งสามารถจัดการกลุ่มยานยนต์แบบผสม รวมถึงอุปกรณ์ทำไร่ทั้งแบบอัตโนมัติและแบบมาตรฐาน เพื่อเพิ่มผลผลิตและความยั่งยืนสูงสุด

เครื่องมือทำไร่ไปสู่ ISObus

อุตสาหกรรมการเกษตรกำลังก้าวไปสู่การใช้เครื่องจักรอัจฉริยะที่เชื่อมต่อถึงกัน เช่นเดียวกับอุตสาหกรรม 4.0 องค์กรมาตรฐานสากล (ISO) 11783 ซึ่งเป็นบัสเครือข่ายข้อมูลแบบอนุกรมของรถแทรกเตอร์และเครื่องจักรสำหรับการเกษตรและป่าไม้เข้ามามีบทบาท ในอุตสาหกรรมการเกษตร เรียกง่ายๆ ว่า ISObus ซึ่งมีพื้นฐานมาจากโปรโตคอล Society of Automotive (SAE) J1939 ประกอบไปด้วยบัส Control Area Network (CAN) และได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานด้านการเกษตร ISObus ได้รับการส่งเสริมโดยสมาคมอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรมการเกษตร (Agricultural Industry Electronics Foundation) ที่ทำงานประสานงานการทดสอบการรับรองขั้นสูงสำหรับมาตรฐาน ISO 11783

ก่อนที่จะใช้ ISObus นั้น เกษตรกรมีรถแทรกเตอร์ที่มีระบบควบคุมกรรมสิทธิ์ซึ่งมีความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพ และการทำงานร่วมกันที่จำกัด โดย ISObus ประกอบด้วยตัวเชื่อมต่อมาตรฐาน โปรโตคอลการสื่อสาร และแนวทางการปฏิบัติงาน และทำให้เกิดการพัฒนาเซ็นเซอร์และระบบควบคุมที่เชื่อมต่อถึงกันจากผู้ผลิตรายต่าง ๆ (รูปที่ 1) นอกจากนั้น ISObus ยังรองรับการใช้พลังงานไฟฟ้าของรถแทรกเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์ส่งกำลังทางกลที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (PTO) และขั้วต่อไฟฟ้าแรงสูงที่มีพิกัดสูงถึง 700 โวลต์ (V) และ 100 กิโลวัตต์ (kW) เพื่อจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

ภาพของ ISObus ที่มีการรวมเซ็นเซอร์ รูปที่ 1: ISObus สามารถรวมเซ็นเซอร์และการใช้งานจากผู้ผลิตที่หลากหลายเข้ากับระบบปลั๊กแอนด์เพลย์ (แหล่งที่มาภาพ: Armin Weigel/dpa (ภาพโดย Armin Weigel/ผ่าน Getty Images)

ISObus กำลังพัฒนายิ่งขึ้นเพื่อพัฒนาระบบการจัดการการใช้งานรถแทรกเตอร์ (TIM) ตามที่คาดการณ์ไว้ ISObus เวอร์ชันขั้นสูงจะช่วยให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถส่งสัญญาณป้อนกลับไปยังรถแทรกเตอร์ได้ ซึ่งสนับสนุนการปรับให้เหมาะสมของระบบรถแทรกเตอร์/อุปกรณ์ติดตั้งแบบผสมผสาน นอกจากนี้ยังช่วยให้การรวมเซ็นเซอร์ในระดับที่สูงขึ้นบนอุปกรณ์ที่รองรับการทำไร่แม่นยำสูง รถแทรกเตอร์จะให้การรับรู้ตำแหน่ง และระบบที่ทำงานร่วมกันจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสภาพดินและพืชผลอย่างต่อเนื่อง ด้วยข้อมูลเชิงลึกที่มีรายละเอียดมากขึ้น สามารถเพิ่มทั้งผลตอบแทนและความยั่งยืนได้

รถแทรกเตอร์ไฟฟ้า รถแทรกเตอร์ดัดแปลง และรถแทรกเตอร์ไร้คนขับ

นอกจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ ISObus แล้ว การใช้พลังงานไฟฟ้าของรถแทรกเตอร์จะมีความสำคัญต่อการใช้งานยานยนต์ไร้คนขับในอนาคต และเพิ่มความยั่งยืนทางการเกษตร การลดการปล่อยมลพิษเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญ โดยหนึ่งในสี่ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกมาจากการเกษตรและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และรถแทรกเตอร์หนึ่งคันปล่อยก๊าซเท่ากับรถยนต์ 14 คัน1

รถแทรกเตอร์ไฟฟ้า (E-tractor) เริ่มปรากฏขึ้น นอกจากลดการปล่อยมลพิษแล้ว รถแทรกเตอร์ไฟฟ้ายังลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้อย่างมาก ปัจจุบันรถแทรกเตอร์ไฟฟ้าถูกจำกัดไว้เฉพาะรุ่นเล็ก เนื่องจากรถแทรกเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่กำลังสูงต้องการชุดแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าขนาดของรถแทรกเตอร์ทั่วไป รถแทรกเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ยังมีน้ำหนักมากกว่า ส่งผลให้การบดอัดของดินเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา และข้อสุดท้ายเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ก้อนใหญ่นั้นนานเกินกว่าจะใช้งานได้จริงในการปฏิบัติในงานด้านเกษตรกรรม โดยมีการทดสอบใช้งานรถแทรกเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กกว่าที่มีมอเตอร์ตั้งแต่ 25 ถึง 70 แรงม้า (HP) ประมาณ 18.6 ถึง 52 กิโลวัตต์ และชุดแบตเตอรี่ขนาดเล็กแล้ว รถแทรกเตอร์ไฟฟ้าเป็นมากกว่าระบบขับเคลื่อน นอกจากนี้ยังเกี่ยวกับการเปลี่ยนระบบไฮดรอลิกสำหรับการจ่ายกำลังและการควบคุมรถแทรกเตอร์ (รูปที่ 2)

รูปภาพของรถแทรกเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กพร้อมมอเตอร์ขนาด 25 ถึง 70 แรงม้ากำลังได้รับการทดสอบและพร้อมสำหรับการใช้งาน รูปที่ 2: รถแทรกเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีมอเตอร์ตั้งแต่ 25 ถึง 70 แรงม้ากำลังได้รับการทดสอบและพร้อมสำหรับการใช้งาน (แหล่งที่มาภาพ: ภาพถ่ายโดย brizmaker จาก Getty Images)

สำหรับรถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ มีชุดติดตั้งเพิ่มเติมแบบไฮบริดให้เลือก ตัวอย่างเช่น บริษัทหนึ่งเสนอชุดอุปกรณ์ที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 250 กิโลวัตต์ ซึ่งสามารถติดตั้งเข้ากับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีอยู่ของรถแทรกเตอร์แทนปั๊มไฮดรอลิก ชุดอุปกรณ์นี้ยังประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสี่ตัวเพื่อใช้แทนที่ระบบขับเคลื่อนไฮดรอลิกและระบบส่งกำลังไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนอุปกรณ์ที่มีอยู่ ด้วยการแทนที่ระบบไฮดรอลิก ชุดติดตั้งเพิ่มเติมช่วยลดค่าเชื้อเพลิงและค่าบำรุงรักษา และเพิ่มความพร้อมใช้งานและความน่าเชื่อถือของรถแทรกเตอร์ไฟฟ้าแบบไฮบริด

เช่นเดียวกับการเปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับและรถบรรทุก การใช้งานรถแทรกเตอร์ไร้คนขับต้องเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ตัวอย่างเช่น ข้อบังคับปัจจุบันในแคลิฟอร์เนียกำหนดให้ “อุปกรณ์ที่ขับเคลื่อนได้เองทั้งหมด เมื่อทำงานด้วยกำลังไฟฟ้าของตัวเองและกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ที่ส่วนควบคุมยานพาหนะ” การขับเคลื่อนแบบไร้คนขับเต็มรูปแบบจะต้องรอไปก่อน

บินอยู่เหนือท้องทุ่ง

ปัจจุบันมีการใช้โดรนเพื่องานด้านการเกษตรที่หลากหลาย ตัวอย่าง ได้แก่:

  • การถ่ายภาพสุขภาพพืช โดรนได้เข้ามาแทนที่ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อติดตามสุขภาพพืชผล เมื่อติดตั้งอุปกรณ์ถ่ายภาพ Normalized Difference Vegetation Index (NDVI) โดรนจะให้ภาพสีที่มีรายละเอียดซึ่งสามารถใช้ตรวจสอบสุขภาพของพืชได้ ภาพถ่ายจากดาวเทียมใช้เวลาในการดึงข้อมูลและให้ความแม่นยำในระดับเมตร ในขณะที่โดรนให้ภาพที่มีความแม่นยำระดับมิลลิเมตร และสามารถระบุโรค แมลงศัตรูพืช หรือปัญหาอื่น ๆ ในแบบเรียลไทม์
  • การตรวจสอบสภาพไร่สวน โดรนยังตรวจสอบสภาพดินและการระบายน้ำทั่วทั้งไร่สวน ที่สามารถเปิดใช้งานโปรแกรมการรดน้ำที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น
  • การปลูก เครื่องปลูกเมล็ดพืชแบบใช้โดรนอัตโนมัติมีอยู่ทั่วไปในอุตสาหกรรมป่าไม้ และกำลังขยายไปสู่ภาคการเกษตรทั่วไป โดรนสามารถปลูกต้นไม้หรือเมล็ดพืชได้อย่างรวดเร็วและเข้าถึงพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สามารถปลูกต้นไม้ได้ 400,000 ต้นต่อวันโดยใช้โดรนหลายตัวและใช้ทีมงานเพียง 2 คน
  • การพ่น การใช้โดรนฉีดพ่นปุ๋ยและยาฆ่าแมลงเป็นการใช้งานใหม่ที่แตกต่างกันไปตามภูมิภาค (รูปที่ 3) ตัวอย่างเช่น ในเกาหลีใต้ มีการใช้โดรนประมาณ 30% ของการฉีดพ่นทางการเกษตร ขณะที่ในแคนาดาการใช้โดรนในการฉีดพ่นทางการเกษตรนั้นผิดกฎหมาย และในสหรัฐอเมริกาการฉีดพ่นด้วยโดรนจำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตและการรับรองตามที่ได้รับมอบอำนาจจาก Federal Aviation Administration (FAA) และหน่วยงานด้านการเกษตร ธุรกิจ และการขนส่งของรัฐ

ภาพโดรนขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนาให้สามารถใช้ในการฉีดสเปรย์ได้ รูปที่ 3: โดรนขนาดใหญ่ได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้ฉีดพ่นปุ๋ยและยาฆ่าแมลงได้ (ภาพ: ภาพถ่ายโดย baranozdemir จาก Getty Images)

ความแม่นยำสูงทำให้ผลิตได้มากขึ้นโดยใช้ปริมาณที่น้อยลง

แม้กระทั่งก่อนที่รถแทรกเตอร์ไร้คนขับจะถูกนำมาใช้จริง โดรนและการใช้พลังงานไฟฟ้าของรถแทรกเตอร์และอุปกรณ์รถแทรกเตอร์คาดว่าจะสนับสนุนการเกษตรแม่นยำสูงและเพิ่มความยั่งยืน

จากการศึกษาของสมาคมผู้ผลิตอุปกรณ์ [การเกษตร] (AEM) การใช้การเกษตรแม่นยำสูงสามารถนำไปสู่การผลิตพืชผลเพิ่มขึ้น 4% ประสิทธิภาพของการใช้ปุ๋ยเพิ่มขึ้น 7% การใช้ยากำจัดวัชพืชและยาฆ่าแมลงลดลง 9% และลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลง 6%2 นอกจากนี้ยังสามารถลดการใช้น้ำได้ถึง 4% ด้วยการให้น้ำที่แม่นยำ

ตัวเลขเหล่านี้มากจากเทคโนโลยีในปัจจุบัน เมื่อการเพิ่มระบบเชื่อมต่อและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตัวเลขการพัฒนาเหล่านั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นทวีคูณ การเพิ่มแมชชีนเลิร์นนิง (ML) สำหรับการบำรุงรักษาอุปกรณ์ช่วยประหยัดและปรับปรุงในด้านความยั่งยืน

จากข้อมูลของ AEM อุปกรณ์ทำไร่อัตโนมัติคาดว่าจะส่งผลให้มีการพัฒนาเพิ่มขึ้น 24% เมื่อพิจารณาทั้งการประหยัดและการเพิ่มผลผลิต ปัจจัยสำคัญในการปรับปรุงดังกล่าวคือข้อสันนิษฐานที่ว่าเครื่องจักรอัตโนมัติจะมีน้ำหนักเบากว่าอุปกรณ์เดิม ทำให้มีการบดอัดน้อยลงและสภาพดินดีขึ้น

AI และ ML จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเครื่องจักรที่มีความแม่นยำซึ่งปรับให้เหมาะกับงานเฉพาะ เครื่องจักรเฉพาะงานอาจมีขนาดเล็กกว่ารถแทรกเตอร์อเนกประสงค์ ตัวอย่างเช่น กำลังพัฒนาเครื่องจักรขนาดเล็กสำหรับเก็บพืชผลที่ต้องการการมองเห็นด้วยเครื่องจักร การสัมผัสที่ละเอียดอ่อน และความคล่องแคล่วแม่นยำ

การควบคุมวัชพืชเป็นอีกการใช้งานหนึ่งที่คาดว่าเครื่องจักร AI และ ML สำหรับการใช้งานเฉพาะจะมีส่วนร่วมอย่างมาก การควบคุมวัชพืชทำได้ยาก ใช้แรงงานมาก และหากไม่ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ จะก่อให้เกิดการใช้น้ำที่มากขึ้นและการสูญเสียธาตุอาหารในดิน การปลูกพืชหมุนเวียนเป็นวิธีแก้ปัญหาเพียงบางส่วน แต่ไม่สามารถขจัดความจำเป็นในการใช้สารกำจัดวัชพืชหรือการควบคุมวัชพืชด้วยตนเองได้ หุ่นยนต์จัดการวัชพืชที่รวมวิชันซิสเต็มกับ AI และ ML กำลังได้รับการทดสอบ อีกทั้งเครื่องจักรขนาดเล็กเหล่านี้ยังลดการบดอัดของดินอีกด้วย (รูปที่ 4)

ภาพการเก็บเกี่ยวหุ่นยนต์อัตโนมัติที่รวมการมองเห็นด้วยเครื่องเข้ากับ AI และ ML รูปที่ 4: ตัวอย่างการเก็บเกี่ยวหุ่นยนต์อัตโนมัติที่รวมแมชชีนวิชันเข้ากับ AI และ ML (แหล่งที่มาภาพ: ภาพถ่ายโดย onurdongel จาก Getty Images)

Farm OS และกลุ่มอุปกรณ์อัตโนมัติ

อุตสาหกรรมการเกษตรกำลังมองไปยังอนาคตที่ระบบฟาร์มอัตโนมัติเต็มรูปแบบจะถูกควบคุมโดยระบบปฏิบัติการ (OS) ที่ซับซ้อนที่สามารถจัดการกลุ่มยานยนต์แบบผสมได้ ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์การทำไร่ทั้งแบบอัตโนมัติและแบบมาตรฐาน รวมถึงเครื่องจักรภาคพื้นและโดรน เพื่อเพิ่มผลผลิตและความยั่งยืน (รูปที่ 5) กลุ่มอุปกรณ์ทำไร่เหล่านั้นจะทำงานประสานกันเพื่อช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายด้านต้นทุน ลดความต้องการแรงงาน และให้ข้อมูลใหญ่ที่จำเป็นต่อการใช้งานอัตโนมัติและการเกษตรแม่นยำสูง นอกจากนี้ ระบบปฏิบัติการฟาร์มแห่งอนาคตจะได้รับมาตรฐานและปรับให้เหมาะสมเพื่อรองรับอุปกรณ์ที่หลากหลายจากซัพพลายเออร์จำนวนมาก การนำ ISObus มาใช้เป็นเพียงขั้นตอนแรกสู่แนวทางแบบโอเพ่นซอร์สและเป็นมาตรฐานสำหรับระบบอัตโนมัติในฟาร์ม

ภาพกลุ่มเครื่องจักรการเกษตรอัตโนมัติภาคพื้นดินและโดรนที่มีการประสานการทำงานกัน รูปที่ 5: กลุ่มเครื่องจักรการเกษตรอัตโนมัติภาคพื้นดินและโดรนที่มีการประสานการทำงานกันจะนำไปสู่ความยั่งยืนในระดับที่สูงขึ้น (แหล่งที่มาภาพ: ภาพประกอบโดย Scharfsinn86 จาก Getty Images)

ประโยชน์เพิ่มเติมที่คาดว่าจะได้รับจากระบบปฏิบัติการณ์ฟาร์มที่นำเสนอคือการลดการปล่อย CO2 การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ลดลง และการเพิ่มประสิทธิภาพของการชาร์จและการจัดการแบตเตอรี่ การวิเคราะห์ข้อมูลใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในอนาคตของการเกษตร โดยข้อมูลเรียลไทม์จำนวนมากโดยตรงจากไร่สวนจะถูกใช้เพื่อเทรนอัลกอริทึม AI และ ML อย่างต่อเนื่องซึ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจ การควบคุม และการวางแผนปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตรแม่นยำสูง

สรุป

ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นสำหรับการพัฒนายานยนต์อัตโนมัติในไร่สวนและการเกษตรแม่นยำสูงแบบยั่งยืน อุตสาหกรรมได้เริ่มต้นไปตามเส้นทางโดยใช้ ISObus โดย ISObus รุ่นถัดไปจะรองรับการทำงานร่วมกันที่เพิ่มขึ้นและช่วยนำไปสู่กลุ่มอุปกรณ์ทำไร่ที่ซับซ้อนและเชื่อมต่อกันมากขึ้น เป้าหมายคือการพัฒนาระบบปฏิบัติการฟาร์มที่สามารถนำกลุ่มอุปกรณ์ทำไร่เหล่านั้นมารวมเข้ากับข้อมูลเซ็นเซอร์แบบเรียลไทม์จำนวนมหาศาลโดยใช้อัลกอริทึม AI และ ML และใช้งานรูปแบบของอุปกรณ์ภาคพื้นดินและเครื่องบินที่ประสานกัน ทำให้เกิดความยั่งยืนและผลผลิตในระดับสูง

  1. รถแทรกเตอร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติพร้อมสมองกลหุ่นยนต์กำลังจะครอบครองฟาร์ม, Autoweek
  2. ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมของเกษตรกรรมแม่นยำสูงในเชิงปริมาณ, AEM
DigiKey logo

Disclaimer: The opinions, beliefs, and viewpoints expressed by the various authors and/or forum participants on this website do not necessarily reflect the opinions, beliefs, and viewpoints of DigiKey or official policies of DigiKey.

About this author

Image of Jeff Shepard

Jeff Shepard

Jeff เขียนเกี่ยวกับเรื่องอิเล็กทรอนิกส์กำลัง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และหัวข้อทางด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ มามากกว่า 30 ปีแล้ว เขาเริ่มเขียนเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์กำลังในตำแหน่งบรรณาธิการอาวุโสที่ EETimes ต่อมาเขาได้ก่อตั้ง Powertechniques ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์กำลังและก่อตั้ง Darnell Group ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและเผยแพร่ด้านอิเล็กทรอนิกส์กำลังระดับโลกในเวลาต่อมา ในบรรดากิจกรรมต่างๆ Darnell Group ได้เผยแพร่ PowerPulse.net ซึ่งให้ข่าวประจำวันสำหรับชุมชนวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์กำลังทั่วโลก เขาเป็นผู้เขียนหนังสือข้อความแหล่งจ่ายไฟสลับโหมดชื่อ "Power Supplies" ซึ่งจัดพิมพ์โดยแผนก Reston ของ Prentice Hall

นอกจากนี้ Jeff ยังร่วมก่อตั้ง Jeta Power Systems ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์จ่ายไฟแบบสวิตชิ่งกำลังวัตต์สูงซึ่งได้มาจากผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ Jeff ยังเป็นนักประดิษฐ์โดยมีชื่อของเขาอยู่ในสิทธิบัตร 17 ฉบับของสหรัฐอเมริกาในด้านการเก็บเกี่ยวพลังงานความร้อนและวัสดุที่ใช้ในเชิงแสงและเป็นแหล่งอุตสาหกรรม และบ่อยครั้งเขายังเป็นนักพูดเกี่ยวกับแนวโน้มระดับโลกในด้านอิเล็กทรอนิกส์กำลัง เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิธีการเชิงปริมาณและคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

About this publisher

DigiKey's North American Editors