วิธีการเลือกและใช้อุปกรณ์อย่างเหมาะสมเพื่อปกป้องอุปกรณ์ทางการแพทย์ ผู้ใช้งาน และผู้ป่วย

By Bill Schweber

Contributed By DigiKey's North American Editors

การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ใช่สำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการเพื่อการวินิจฉัยและช่วยชีวิตที่สัมผัสกับผู้ป่วย เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องกระตุ้นหัวใจ เครื่องสแกนอัลตร้าซาวด์ และเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) นั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากประชากรสูงอายุ ความคาดหวังในการดูแลที่เพิ่มขึ้นของผู้ป่วย และการปรับปรุงเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ทางการแพทย์ที่ทำให้ระบบดังกล่าวสามารถใช้งานได้จริงมากขึ้น อุปกรณ์ดังกล่าวต้องการการป้องกันปัญหาด้านไฟฟ้าหลายแบบที่อาจสร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์ บุคลากรของโรงพยาบาล และผู้ป่วย

อย่างไรก็ตามการป้องกันวงจรแบบเต็มรูปแบบนั้นป้องกันได้มากกว่าเทอร์โมฟิวส์ และการใช้การป้องกันไม่ได้เป็นการค้นหาอุปกรณ์ที่ดีที่สุดเพียงชิ้นเดียวสำหรับการออกแบบและใช้งานที่ต้องการ แต่จะเกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจก่อนว่าวงจรใดบ้างที่ต้องการการป้องกันแล้วจึงกำหนดโหมดการป้องกันที่ดีที่สุด โดยทั่วไปแล้วจะต้องใช้อุปกรณ์แบบพาสซีฟหลายตัวเพื่อป้องกัน และระบบทั่วไปอาจจะต้องการอุปกรณ์การป้องการเฉพาะจำนวนมาก อุปกรณ์การป้องกันนั้นเป็นเหมือนประกันภัย ซึ่งประกันภัยนั้นอาจจะไม่ค่อยจำเป็นเท่าไรหรือไม่มีความจำเป็นเลย แต่ค่าใช้จ่ายเมื่อไม่มีประกันภัยนั้นอาจมากกว่าค่าใช้จ่ายเมื่อมีประกันภัย

บทความนี้กล่าวถึงส่วนที่จำเป็นต้องมีการป้องกันในระบบการแพทย์ รวมทั้งสัญญาณ I/O ของเซ็นเซอร์/สัญญาณที่สัมผัสกับผู้ป่วย แหล่งจ่ายไฟ พอร์ตสื่อสาร แกนประมวลผล และอินเตอร์เฟสผู้ใช้งาน นอกจากนั้นยังกล่าวถึงวงจรและอุปกรณ์ป้องกันระบบประเภทต่าง ๆ โดยใช้อุปกรณ์จาก Littelfuse, Inc เป็นตัวอย่างและทดสอบบทบาทและการนำไปใช้งานของวงจรและอุปกรณ์แต่ละประเภท

บทบาทของการป้องกันในระบบทางการแพทย์

เมื่อพูดถึง "การป้องกันวงจร" วิศวกรส่วนใหญ่จะนึกถึงเทอร์โมฟิวส์แบบดั้งเดิมที่ใช้มานานกว่า 150 ปี รูปแบบสมัยใหม่ส่วนใหญ่มาจากผลงานของ Edward V. Sundt ที่ในปีค.ศ. 1927 ได้จดสิทธิบัตรฟิวส์ป้องขนาดเล็กตอบสนองอย่างรวดเร็วตัวแรก เพื่อป้องกันไม่ให้มิเตอร์ทดสอบที่มีความละเอียดอ่อนเกิดความเสียหาย (อ้างอิง 1) จากนั้นในท้ายที่สุดเขาก็ค้นพบสิ่งที่ทำให้กลายมาเป็น Littelfuse, Inc

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตัวเลือกการป้องกันวงจรได้เพิ่มการนำไปใช้ในการตรวจพบข้อบกพร่องของวงจรที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็น:

  • ข้อบกพร่องภายในที่อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์อื่น
  • ข้อบกพร่องภายในที่อาจทำให้ผู้ใช้งานหรือผู้ป่วยมีความเสี่ยง
  • ปัญหาด้านการทำงานภายใน (แรงดันไฟฟ้า/กระแสไฟฟ้า/ความร้อน) ที่อาจให้เกิดความเครียดกับอุปกรณ์อื่นและทำให้อุปกรณ์เสียหายก่อนเวลาอันควร
  • การเปลี่ยนแปลงกระทันหันชั่วคราวหรือการโด่งของแรงดันไฟฟ้า/กระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานของวงจรตามปกติและหลีกเลี่ยงไม่ได้จะต้องมีจัดการอย่างรอบคอบ

ปัญหาหลายประการเกิดขึ้นกับหน่วยที่ใช้แบตเตอรี่ ไม่ใช่ส่วนที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้ากระแสสลับเพียงอย่างเดียว

การทำงานของอุปกรณ์ป้องกันแทบทั้งหมดคือการลดแรงดันไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงชั่วคราวขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถยอมรับได้ มีอุปกรณ์ป้องกันการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวสองประเภทหลัก: ประเภทที่ลดขนาดการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว ซึ่งจะป้องกันการแพร่กระจายของการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวเข้าสู่วงจรอ่อนไหว และประเภทที่เบี่ยงเบนการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวออกจากโหลดที่ละเอียดอ่อน และจำกัดแรงดันไฟฟ้าที่เหลืออยู่ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะศึกษากราฟการลดความร้อนและประสิทธิภาพในเอกสารข้อมูลของอุปกรณ์อย่างรอบคอบ เนื่องจากบางส่วนระบุถึงการป้องกันการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวในช่วงเวลาต่าง ๆ ตามแรงดันไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และช่วงเวลาที่กำหนดแทนที่จะเป็นการป้องกันในสภาวะคงที่

พารามิเตอร์ทางไฟฟ้าที่ต้องพิจารณาคือ แรงดันไฟฟ้าแคลมปิ้ง กระแสไฟฟ้าสูงสุด แรงดันไฟฟ้าเบรกดาวน์ แรงดันไฟฟ้าย้อนกลับหรือแรงดันไฟฟ้าทำงานย้อนกลับ กระแสพัลส์สูงสุด ความต้านทานแบบไดนามิก และความจุไฟฟ้า นอกจากนั้นการทำความเข้าใจภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดและระบุไว้เป็นสิ่งสำคัญ และยังจ้องพิจารณาขนาดอุปกรณ์และจำนวนช่องหรือสายไฟที่ป้องกัน ตัวเลือกอุปกรณ์ป้องกันที่ดีที่สุดที่นำมาใช้ในชิ้นส่วนวงจรที่กำหนดเป็นฟังก์ชันของปัจจัยเหล่านี้ และมักจะมีการแลกเปลี่ยนพารามิเตอร์ต่าง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยจะมีแนวทางที่แทบจะเป็นที่ต้องการหรือแนวทาง "มาตรฐาน" แต่นอกจากนี้ยังมีทางเลือกที่ต้องตัดสินใจ ประเมิน และดำเนินการ

ตัวเลือกการป้องกันวงจรนั้นมีมากมาย: จงเลือกอย่างชาญฉลาด

มีตัวเลือกการป้องกันมากมาย โดยแต่ละตัวเลือกมีหน้าที่และคุณลักษณะแตกต่างกัน ซึ่งอาจเหมาะสมหรือเป็นตัวเลือกเดียวสำหรับการป้องกันระดับความผิดพลาดระดับใดระดับหนึ่งหรือสำหรับลักษณะของวงจรที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตัวเลือกการป้องกันหลักคือ:

  • เทอร์โมฟิวส์แบบดังเดิม
  • อุปกรณ์ค่าสัมประสิทธิ์ของความต้านทานต่ออุณหภูมิเป็นบวกแบบพอลี่ (PPTC)
  • เมทัลอ๊อกไซด์วาริสเตอร์ (MOV)
  • มัลติเลเยอร์วาริสเตอร์ (MLV)
  • ไดโอป้องกันแรงดันไฟฟ้าสูงชั่วคราว (TVS)
  • ไดโอดอาร์เรย์
  • โซลิดสเตตรีเลย์ (SSR)
  • ตัวแสดงผลค่าอุณหภูมิ
  • หลอดปล่อยประจุในแก็ส (GDT)

เทอร์โมฟิวส์เป็นแนวคิดทางที่เรียบง่าย ที่ใช้ตัวเชื่อมต่อนำไฟฟ้าที่หลอมละลายได้ ซึ่งผลิตจากโลหะที่คัดสรรมาอย่างดีและมีขนาดที่แม่นยำ การไหลของกระแสไฟฟ้าเกินขีดจำกัดที่ออกแบบไว้ทำให้ตัวเชื่อมต่อร้อนขึ้นและละลาย ฟิวส์มาตรฐานใช้เวลาในการเปิดวงจรประมาณหลายร้อยมิลลิวินาทีถึงหลายวินาทีขึ้นอยู่กับปริมาณกระแสไหลเกินเทียบกับกระแสไฟฟ้าจำกัด โดยในหลาย ๆ การออกแบบแบบ ฟิวส์จะเป็นขั้นสุดท้ายของการป้องกัน ซึ่งจะตอบสนองอย่างเด็ดขาดและไม่สามารถยกเลิกได้

มีฟิวส์สำหรับกระแสไฟฟ้ามึค่าตั้งแต่น้อยกว่าหนึ่งแอมป์ไปจนถึงหลายร้อยแอมป์หรือสูงกว่า และสามารถออกแบบให้ทนแรงดันไฟฟ้าได้หลายร้อยหลายพันโวลต์ระหว่างขั้วทั้งสองในสภาวะวงจรเปิดที่ก่อให้เกิดข้อผิดพลาด

ฟิวส์ทั่วไปคือฟิวส์เซรามิก 0215.250TXP ของ Littelfuse ขนาด 250 มิลลิแอมป์ (mA), 250 โวลต์ AC (VAC) 5 x 20 มิลลิเมตร (มม.) (รูปที่ 1) เช่นเดียวกับในฟิวส์ส่วนใหญ่ ปลอกทรงตลับและทรงกระบอกไม่ได้บัดกรีเข้าในวงจร แต่จะบัดกรีติดกับตัวยึดฟิวส์แทนเพื่อความสะดวกในการเปลี่ยน นอกจากนั้นฟิวส์ปลอกทรงเหลี่ยมและเบรดฟิวส์นั้นสามารถบัดกรีได้ แต่จะต้องบัดกรีด้วยความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ส่วนประกอบของฟิวส์เสียหาย

รูปฟิวส์ 0215.250TXP ของ Littelfuse ขนาด 250 mA, 250 VACรูปที่ 1: ฟิวส์ 0215.250TXP ของ Littelfuse ขนาด 250 mA, 250 VAC ในปลอกเซรามิกเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มม. และยาว 20 มม. (แหล่งที่มาภาพ: Littelfuse, Inc)

แม้จะดูเรียบง่ายแต่ฟิวส์ก็มีรูปแบบ รายละเอียดปลีกย่อย และปัจจัยอื่น ๆ มากมายที่ต้องนำมาพิจารณาในการเลือกให้เหมาะสมกับวงจร (อ้างอิง 2 และ 3) โดยทั่วไปมักจะใช้ฟิวส์กับด้าน AC ขาเข้า ด้านขาออกที่อาจเกิดการลัดวงจร หรือตำแหน่งที่เป็นปัญหาร้ายแรงที่กระแสไฟฟ้าภายในเกินจนต้องหยุดไหล และตำแหน่งที่พบว่าเป็นปัญหาและได้รับการแก้ไขก่อนกลับมาใช้งานอีกครั้ง

อุปกรณ์ PPTC ทำหน้าที่สองแบบ: การกำกับดูแลด้านความปลอดภัยเช่น พอร์ต USB, แหล่งจ่ายไฟ, แบตเตอรี่ หรือวงจรควบคุมมอเตอร์ และป้องกันความเสี่ยง เช่น พอร์ต I/O ระหว่างสถานการณ์ที่ผิดปกติ เช่น กระแสไฟฟ้าเกินพิกัด โหลดเกินพิกัด หรืออุณหภูมิเกินพิกัด ความต้านทาน PPTC จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งจะจำกัดกระแสไฟฟ้าจ่ายเข้าเพื่อปกป้องส่วนประกอบภายในวงจร

เมื่ออุปกรณ์ PPTC จะเข้าสู่สภาวะความต้านทานสูง กระแสไฟฟ้าจำนวนเล็กน้อยจะผ่านอุปกรณ์อย่างต่อเนื่อง อุปกรณ์ PPTC ต้องการความร้อนจากกระแสไฟฟ้าต่ำที่เกิดจากกระแส "รั่ว" หรือแหล่งความร้อนภายนอกเพื่อรักษาสภาวะดังกล่าว หลังออกจากสภาวะผิดพลาดและพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน แหล่งความร้อนก็จะหายไป จากนั้นอุปกรณ์จะเข้าสู่สถานะความต้านทานต่ำและวงจรจะกลับเข้าสู่สภาวะทำงานปกติ แม้ว่าอุปกรณ์ PPTC บางครั้งอาจถือว่าเป็น "ฟิวส์ที่สามารถรีเซ็ตได้" แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ฟิวส์แต่เป็นเทอร์มิสเตอร์แบบไม่เป็นเชิงเส้นที่จำกัดกระแส เนื่องจากอุปกรณ์ PPTC ทั้งหมดจะเข้าสู่สถานะความต้านทานสูงภายใต้สภาวะผิดพลาด แต่ในการทำงานปกติยังคงมีแรงดันไฟฟ้าที่เป็นอันตรายปรากฏอยู่ในบางส่วนของวงจร

ตัวอย่างที่ดีของ PPTC คือ 2016L100/33DR ของ Littelfuse แบบยึดติดพื้นผิว 33 โวลต์ 1.1 แอมป์ อุปกรณ์ PPTC สำหรับแรงดันไฟฟ้าต่ำ (≤60 โวลต์) ในตำแหน่งที่ต้องการการป้องกันแบบรีเซ็ตได้ (รูปที่ 2) ขนาด 4 x 5 มม. และจะหยุดทำงานภายใน 0.5 วินาทีที่สภาวะกระแสเกิน 8 แอมป์

รูปภาพอุปกรณ์ PPTC 2016L100/33DR ของ Littelfuse ขนาด 33 โวลต์ 1.1 แอมป์รูปที่ 2: อุปกรณ์ PPTC 2016L100/33DR ขนาด 33 โวลต์, 1.1 แอมป์ สามารถใช้กับแรงดันไฟฟ้าต่ำที่ต้องการการป้องกันที่สามารถรีเซ็ตได้ ซึ่งจะทำงานภายใน 0.5 วินาทีเมื่อกระแสไฟฟ้าเกิน 8 แอมป์ (แหล่งรูปภาพ: Littelfuse, Inc.)

ในเครื่องช่วยหายใจทั่วไปอาจใช้ 2016L100/33DR เพื่อปกป้อง MOSFET ของระบบจัดการแบตเตอรี่จากกระแสไฟฟ้าสูง เนื่องจากการลัดวงจรภายนอกหรือเป็นการป้องกันกระแสไฟ้าเกินจากชุดชิป USB (รูปที่ 3)

แผนภาพบล็อคของเครื่องช่วยหายใจ Littelfuse 2016L100/33DRรูปที่ 3: ในแผนภาพบล็อคของเครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์ PPTC สามารถนำมาใช้ในระบบจัดการแบตเตอรี่รวมทั้งส่วนของพอร์ต USB (ส่วนที่ 2 และ 5) (แหล่งที่มาภาพ: Littelfuse, Inc)

MOV เป็นอุปกรณ์แบบไม่เป็นเชิงเส้นและขึ้นอยู่กับแรงดันไฟฟ้าและมีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับซีเนอร์ไดโอดแบบต่อกลับหัวกัน ลักษณะการเบรกดาวน์ที่สมมาตรและชัดเจนช่วยให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันแรงดันไฟฟ้าสูงชั่วคราวที่ดีเยี่ยม

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงแรงดันไฟฟ้าสูงชั่วคราว ค่าอิมพีแดนซ์ของวาริสเตอร์ลดลงตามอันดับของขนาดจากค่าที่วงจรใกล้เปิดไปเป็นค่าที่มีระดับการนำไฟฟ้าสูง ทำให้แรงดันไฟฟ้าสูงชั่วคราวผ่านวงจรในระดับที่ปลอดภัยในเวลาไม่กี่มิลลิวินาที (รูปที่ 4)

กราฟกระแสไฟฟ้าและแรงดัน (V-I) ของ MOVรูปที่ 4: กราฟกระแสไฟฟ้าและแรงดัน (V-I) ของ MOV แสดงให้เห็นขอบเขตความต้านทานสูงปกติ รวมทั้งขอบเขตอิมพีแดนซ์ที่ต่ำมากซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแรงดันไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเกินเกณฑ์ที่กำหนด (แหล่งที่มาภาพ: Littelfuse, Inc)

จากการลดแรงดันไฟฟ้าสูงชั่วคราว พลังงานที่อาจทำให้พัลส์ที่มีค่าสูงชั่วคราวนั้นถูกดูดซับโดยวาริสเตอร์ (รูปที่ 5)

แผนภาพของการสลับอย่างกะทันหันของ MOV จากอิมพีแดนซ์สูงเป็นอิมพีแดนซ์ต่ำรูปที่ 5: การสลับ MOV อย่างกะทันหันจากอิมพีแดนซ์สูงไปเป็นอิมพีแดนซ์ต่ำ โดยที่แรงดันไฟฟ้าสูงชั่วขณะถูกลดให้แรงดันไฟฟ้าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (แหล่งที่มาภาพ: Littelfuse, Inc)

MOV มีแพ็คเกจให้เลือกมากมาย เช่น V07E250PL2T ขนาด 390 โวลต์, 1.75 กิโลแอมป์ (kA) ซึ่งเป็นดิสก์ขนาดเล็กพร้อมขา มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 7 มม (รูปที่ 6) มักใช้กับด้าน AC ขาเข้า เพื่อป้องกันความเสียหายเนื่องจากแรงดันไฟฟ้าของสาย AC สูงชั่วขณะ (ส่วนที่ 1 รูปที่ 3) โปรดทราบว่า MOV สามารถต่อแบบขนานเพื่อปรับปรุงกระแสไฟฟ้าสูงสุดและความสามารถในการจัดการพลังงาน รวมทั้งต่อแบบอนุกรมเพื่อให้พิกัดแรงดันไฟฟ้าที่สูงขึ้นกว่าปกติหรือพิกัดระหว่างค่ามาตรฐาน

รูปภาพ MOV V07E250PL2T ของ Littelfuse เป็นดิสก์ขนาด 7 มม. พร้อมขารูปที่ 6: MOV V07E250PL2T เป็นดิสก์เคลือบขนาด 7 มม. แบบมีขา ทำงานสูงถึง 390 โวลต์และสามารถทนแรงดันสูงชั่วขณะได้ถึง 1,750 แอมป์ (แหล่งที่มารูปภาพ: Littelfuse, Inc.)

MLV คล้ายคลึงกับ MOV และมีการทำงานพื้นฐานที่เหมือนกัน แต่มีโครงสร้างภายในแตกต่างกัน และมีลักษณะที่แตกต่างกันบ้างประการ MLV ผลิตขึ้นมาจากการวางชั้นพิมพ์ซ้อนแบบเปียนของซิงค์ออกไซด์ (ZnO) และอิเล็กโทรดด้านในที่เป็นโลหะ ผ่านการเผาซินเทอร์ การต่อขั้ว การเคลือบกระจก และการชุบในขั้นตอนสุดท้าย โดยทั่วไปที่พิกัดแรงดันไฟฟ้าเดียวกับ MOV ชิ้นส่วน MLV ที่เล็กกว่าจะมีแรงดันไฟฟ้าแคลมป์สูงกว่าที่กระแสไฟฟ้าที่สูงกว่า ในขณะที่ชิ้นส่วนขนาดใหญ่มีความจุพลังงานสูงกว่า

ตัวอย่างเช่น ทดสอบ MVL V12MLA0805LNH โดยใช้มัลติเพิลพัลส์ที่พิกัดกระแสไฟฟ้าสูงสุด (3 แอมป์, 8/20 ไมโครวินาที (µs)) เมื่อสิ้นสุดการทดสอบหลังจาก 10,000 พัลส์ คุณลักษณะแรงดันไฟฟ้าของอุปกรณ์ยังคงเป็นไปตามข้อกำหนด (รูปที่ 7) อุปกรณ์นี้ควรได้รับการพิจารณาเพื่อใช้ในการป้องกันแรงดันไฟฟ้าสูงชั่วคราวในแหล่งจ่ายไฟของเครื่องช่วยหายใจและพอร์ต USB (ส่วนที่ 1 และ 5 ในรูปที่ 3)

กราฟของ V12MLA0805LNH จาก Littelfuse สามารถทนพัลส์สูงชั่วคราวซ้ำ ๆ โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพลดลงรูปที่ 7: MLV เช่น V12MLA0805LNH สามารถทนพัลส์สูงชั่วคราวซ้ำ ๆ โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง (แหล่งที่มาภาพ: Littelfuse, Inc)

นอกจากนั้น ไดโอด TVS ก็ยังปกป้องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความละเอียดอ่อนจากช่วงที่มีแรงดันไฟฟ้าสูงชั่วคราว และสามารถตอบสนองต่อแรงดันไฟฟ้าเกินได้เร็วกว่าอุปกรณ์ป้องกันวงจรประเภทอื่น ๆ ตัวไดโอดจะลดและจำกัดแรงดันไฟฟ้าให้อยู่ในระดับหนึ่งโดยใช้รอยต่อ p-n ที่มีพื้นที่หน้าตัดมากกว่าไดโอดปกติ จึงทำให้ไดโอด TVS สามารถนำกระแสไฟฟ้าจำนวนมากไปยังกราวด์ได้โดยไม่เกิดความเสียหาย

โดยทั่วไปแล้วไดโอด TVS จะใช้เพื่อป้องกันไฟฟ้าเกิน เช่น ฟ้าผ่า การสลับโหลดประเภทเหนี่ยวนำ และการปล่อยไฟฟ้าสถิต (ESD) ที่เกี่ยวข้องกับสายส่งหรือสายข้อมูลและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ โดยเวลาตอบสนองนั้นเป็นไปตามลำดับนาโนวินาที ซึ่งเป็นข้อดีในการปกป้องอินเทอร์เฟซ I/O ที่ค่อนข้างอ่อนไหวในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์ในอุตสาหกรรมและโทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค มีความสัมพันธ์ในการลดแรงดันสูงชั่วคราวที่กำหนดไว้ระหว่างแรงดันไฟฟ้าสูงชั่วคราวกับแรงดันไฟฟ้าตกครอมและกระแสไฟฟ้าผ่าน TVS โดยเฉพาะที่กำหนดโดยโมเดล TVS ภายใต้การพิจารณา (รูปที่ 8)

กราฟความสัมพันธ์ทั่วไปของ TVS ระหว่างแรงดันไฟฟ้าสูงชั่วคราว แรงดันไฟฟ้าตกคร่อม TVS และกระแสไฟฟ้ารูปที่ 8: แสดงเป็นความสัมพันธ์ทั่วไปสำหรับ TVS ระหว่างแรงดันไฟฟ้าชั่วขณะแรงดันไฟฟ้าข้าม TVS และกระแสผ่าน TVS โดยมีค่าเฉพาะที่กำหนดโดยรุ่นไดโอด TVS ที่เลือก (แหล่งที่มาภาพ: Littelfuse, Inc)

SMCJ33A เป็นไดโอด TVS ทิศทางเดียวที่มีแรงดันไฟฟ้าแคลมปิ้ง 53 โวลต์และพิกัดกระแสสูงสุด 28 A ในแพ็คเกจ SMT ขนาด 5.6 x 6.6 มม. นอกจากนี้ยังมีรุ่นแบบสองทิศทาง (มี B ต่อท้าย) สำหรับการใช้งานเมื่อคาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ตัวอย่างการใช้งาน เช่น เครื่องสแกนอัลตร้าซาวด์แบบพกพาพร้อมเครื่องกำเนิดพัลส์ไฟฟ้าแรงสูงเพื่อขับเคลื่อนทรานสดิวเซอร์เพียโซอิเล็กทริก สามารถใช้ไดโอด TVS เพื่อป้องกันพอร์ต USB รวมทั้งจอแสดงผลอินเทอร์เฟซผู้ใช้ LCD/LED (ส่วนที่ 2 และ 3 ในรูปที่ 9)

รูปภาพของแผนภาพบล็อกเครื่องสแกนอัลตร้าซาวด์แบบพกพาของ Littelfuseรูปที่ 9: ในแผนภาพบล็อกเครื่องสแกนอัลตร้าซาวด์แบบพกพานี้สามารถใช้ไดโอด TVS เช่น SMCJ33A ที่มีแรงดันไฟฟ้าแคลมปิ้ง 53 โวลต์ เพื่อป้องกันแรงดันไฟฟ้าสูงชั่วขณะที่พอร์ต USB เช่นเดียวกับที่จอ LCD/LED (ส่วนที่ 2 และ 3) (แหล่งที่มาภาพ: Littelfuse, Inc)

ไดโอดอาร์เรย์ ใช้ไดโอดที่ต่อกันเป็นวงรอบไดโอด TVS ขนาดใหญ่ (เช่น ไดโอดซีเนอร์) เพื่อช่วยลดความจุดังที่เห็นในสาย I/O อุปกรณ์เหล่านี้มีความจุออฟสเตทต่ำ 0.3 ถึง 5 พิโกฟารัด (pF) และเหมาะสำหรับระดับ ESD ตั้งแต่ +/18 กิโลโวลต์ (kV) ถึง +/- 30 kV โดยใช้ป้องกัน USB 2.0, USB 3.0, HDMI, eSATA และอินเทอร์เฟซพอร์ตการแสดงผลเพื่ออ้างถึงความเป็นไปได้บางประการ โปรดทราบว่าไดโอดอาร์เรย์ TVS ที่มีชื่อคล้ายกันมีฟังก์ชันพื้นฐานเหมือนกัน แต่มีความจุสูงกว่าจึงเหมาะสำหรับอินเทอร์เฟซที่มีความเร็วต่ำกว่า

SP3019-04HTG เป็นตัวอย่างของไดโออาร์เรย์ดังกล่าว (รูปที่ 10) มีการป้องกัน ESD แบบไม่สมมาตรความจุต่ำพิเศษ (0.3 pF) สี่ช่องในแพ็คเกจ SOT23 หกขา และยังมีกระแสรั่วไหลต่ำมากโดยทั่วไปที่ 10 นาโนแอมแปร์ (nA) ที่ 5 โวลต์ เช่นเดียวกับไดโอด TVS ที่มีการใช้งานทั่วไปเพื่อป้องกันพอร์ต USB รวมถึงจอแสดงผลอินเทอร์เฟซผู้ใช้ LCD/LED (ส่วนที่ 2 และ 3 ในรูปที่ 9)

แผนภาพของไดโอดอาร์เรย์เช่น SP3019-04HTG ของ Littelfuseรูปที่ 10: อาร์เรย์ไดโอดเช่น SP3019-04HTG ให้การป้องกัน ESD สำหรับสาย I/O ความเร็วสูงแบบหลายสาย (แหล่งที่มาภาพ: Littelfuse, Inc)

SSR เรียกอีกอย่างว่า อุปกรณ์เชื่อมต่อทางแสง อนุญาตให้แรงดันไฟฟ้าหนึ่งสัญญาณสับเปลี่ยนและควบคุมแรงดันไฟฟ้าอิสระที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแยกกัลวานิกที่ใกล้เคียงกัน (ไม่มีเส้นทางโอห์มมิก) ระหว่างสัญญาณขาเข้าและขาออก สามารถใช้งานกับวัตถุประสงค์กว้าง ๆ หลายประการ ประการแรกคือใช้งานได้: สามารถกำจัดกราวด์ลูประหว่างวงจรย่อยที่แยกจากกันหรืออนุญาตให้ไดรเวอร์ด้านสูงของการกำหนดค่า MOSFET แบบครึ่งหรือแบบ H-bridge ให้ "ลอย" จากกราวด์ วัตถุประสงค์อีกประการหนึ่งคือการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย และมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งคุณสมบัติการแยกออกจากกันเป็นตัวขวางกั้นที่ไม่สามารถผ่านได้ โดยจำเป็นต้องมีการกักกันนี้ในกรณีที่มีแรงดันไฟฟ้าภายในสูง และมีการสัมผัสกับผู้ใช้งานหรือผู้ป่วยด้วยสายวัด หัววัด และปลอก

CPC1017NTR เป็นตัวอย่างของ SSR ขั้วเดียวแบบปกติเปิด (1-Form-A) บรรจุในแพ็คเกจแบบขนาดเล็กสี่ขา 4 mm2 โดยให้การแยก 1,500 โวลต์ RMS (VRMS) ระหว่างสัญญาณขาเข้าและขาออก โดยมีประสิทธิภาพสูงที่ใช้กระแสไฟ LED เพียง 1 mA ในการทำงานสามารถสลับเป็น 100 mA/60 โวลต์ และให้การสลับแบบไม่เกิดอาร์กโดยไม่ต้องใช้วงจรสนับเบอร์ภายนอก นอกจากนี้ยังไม่เกิด EMI/RFI และมีภูมิคุ้มกันต่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้าภายนอก ซึ่งเป็นลักษณะที่จำเป็นในเครื่องมือและระบบทางการแพทย์บางอย่าง ในการใช้งานบางอย่าง เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ นักออกแบบสามารถนำมาใช้เพื่อแยกวงจรไฟฟ้าแรงดันต่ำออกจากแรงดันไฟฟ้าสูงของบริดจ์ที่ขับเคลื่อนด้วยแพดเดิ้ลของเครื่อง (รูปที่ 11)

ไดอะแกรมของ SSR ช่วยให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แรงดันต่ำขับเคลื่อนแพดเดิ้ลไฟฟ้าแรงสูงรูปที่ 11: ในเครื่องกระตุ้นหัวใจ SSR ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แรงดันต่ำขับเคลื่อนแพดเดิ้ลแรงดันสูง ในขณะที่ปล่อยให้ไดรเวอร์ด้านบนที่ “ลอย” ของการจัดเรียงแบบ H-bridge ยังคงแยกออกจากกราวด์ของระบบ (ส่วนที่ 5) (แหล่งที่มาภาพ: Littelfuse, Inc)

ตัวแสดงผลค่าอุณหภูมิ คือเซนเซอร์อุณหภูมิรุ่นพิเศษ เช่น เทอร์มิสเตอร์ แม้ว่าจะเห็นได้ชัดว่าบริเวณใดที่มีความร้อนสูง แต่แหล่งจ่ายไฟหรือแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่สูงกว่าก็จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบความร้อนส่วนเกิน แม้กระทั่งพอร์ต I/O เช่น USB-Type C ก็ยังต้องสามารถจัดการกระแสไฟฟ้าสูงและทำให้ร้อนเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากความบกพร่องภายใน หรือแม้กระทั่งการโหลดผิดพลาดหรือสายไฟเที่ต่อกับอุปกรณ์นั้นลัดวงจร

ในการจัดการปัญหาที่อาจเกิดขึ้นนี้ อุปกรณ์เช่น SETP0805-100-SE ซึ่งเป็นตัวแสดงผลค่าอุณหภูมิค่าสัมประสิทธิ์ของความต้านทานต่ออุณหภูมิเป็นบวก (PTC) จะช่วยป้องกันปลั๊ก USB Type-C จากความร้อนสูงเกินไป ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับข้อกำหนดเฉพาะของมาตรฐาน USB และสามารถช่วยป้องกันการจ่ายพลังงานของ USB Type-C ในระดับสูงสุดได้ อุปกรณ์นี้มาในแพ็กเกจ 0805 (ขนาด 2.0 x 1.2 มม.) ทำหน้าที่ปกป้องระบบที่ใช้พลังงาน 100 วัตต์ขึ้นไป โดยมีการบ่งชี้อุณหภูมิที่ละเอียดอ่อนและเชื่อถือได้จากความต้านทานที่เพิ่มขึ้นจาก 12 โอห์ม (Ω) ที่ 25⁰C ถึง 35 กิโลโอห์ม (kΩ) ที่100⁰C ( ค่าทั่วไป)

GDT อาจทำให้วิศวกรนึกถึงท่อขนาดใหญ่เทอะทะระยิบระยับ แต่ในความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันมาก ท่อเหล่านี้วางอยู่ระหว่างสายหรือตัวนำที่จะป้องกัน ซึ่งโดยปกติมักจะเป็นสายไฟ AC หรือตัวนำที่ “สัมผัส” และกราวด์ของระบบอื่น ๆ เพื่อให้เป็นกลไกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการนำกระแสไฟฟ้าเกินที่สูงขึ้นลงกราวด์

ภายใต้สภาวะการทำงานปกติ ก๊าซภายในอุปกรณ์จะทำหน้าที่เหมือนฉนวนและ GDT จะไม่นำกระแสไฟฟ้า เมื่อเกิดสภาวะแรงดันไฟฟ้าเกินพิกัด (เรียกว่าการสปาร์ก) ก๊าซภายในท่อจะแตกตัวและนำกระแสไฟ เมื่อสภาวะแรงดันไฟฟ้าเกินพิกัดเกินกว่าพารามิเตอร์ของพิกัดแรงดันไฟฟ้าของการสปาร์ก GDT จะเปิดและปล่อยประจุโดยการเปลี่ยนพลังงานที่เป็นอันตราย GDT เป็นอุปกรณ์สองขั้วสำหรับวงจรที่ไม่มีกราวด์ และอุปกรณ์สามขั้วแบบมีกราวด์อยู่ในแพ็คเกจ SMT ขนาดเล็ก เพื่อความสะดวกในการออกแบบและการประกอบแผงวงจร (รูปที่ 12)

แผนภาพของ GDT แบบสองขั้ว (ซ้าย) และแบบสามขั้ว (ขวา) (คลิกเพื่อดูภาพขยาย)รูปที่ 12: GDT ที่แสดงเป็นอุปกรณ์แบบมีสองขั้ว (ซ้าย) สำหรับวงจรที่ไม่มีกราวด์และ (ขวา) เป็นอุปกรณ์สามขั้วสำหรับวงจรที่มีกราวด์ (สัญลักษณ์ GDT คือกราฟิก "รูปตัว Z" ทางด้านขวาของแต่ละแผนภาพ) (แหล่งที่มาภาพ: Littelfuse, Inc)

GDT สำหรับการใช้งานกับค่าการสปาร์กที่มีค่าต่ำถึง 75 โวลต์ และสามารถรองรับแอมป์ได้หลายร้อยถึงหลายพันแอมแปร์ ตัวอย่างเช่น GTCS23-750M-R01-2 เป็น GDT สองขั้วที่มีค่าการสปาร์ก 75 โวลต์และพิกัดกระแส 1 kA ในแพ็คเกจ SMT ที่มีความยาว 4.5 มม. และเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 มม. ซึ่งสามารถวางไว้ที่ใดก็ได้ที่ต้องการการป้องกัน (รูปที่ 13)

รูปภาพ GDT GTCS23-750M-R01-2 ของ Littelfuse ขนาด 75 โวลต์ 1 kAรูปที่ 13: GDT ไม่จำเป็นต้องมีลักษณะเหมือนอุปกรณ์ที่มีช่องว่างขนาดใหญ่ดังที่เห็นในภาพยนตร์ GTCS23-750M-R01-2 เป็น GDT ขนาด 75 โวลต์ 1 kA ในแพ็คเกจ SMT ที่วัดความยาวเพียง 4.5 มม. และเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 มม. (แหล่งที่มาภาพ: Littelfuse, Inc)

มาตรฐานเป็นแนวทางในการออกแบบ

อุปกรณ์ทางการแพทย์ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยหลายฉบับ ซึ่งบางมาตรฐานใช้กับผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคและผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ และบางมาตรฐานใช้สำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์เท่านั้น มาตรฐานต่าง ๆ เหล่านี้มีขอบเขตในระดับสากล โดยมาตรฐานและข้อบังคับต่าง ๆ เหล่านั้นคือ:

  • IEC 60601-1-2, “อุปกรณ์ไฟฟ้าทางการแพทย์ - ส่วนที่ 1-2: ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับความปลอดภัยขั้นพื้นฐานและประสิทธิภาพที่จำเป็น - มาตรฐานข้างเคียง: การรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า - ข้อกำหนดและการทดสอบ”
  • IEC 60601-1-11, "อุปกรณ์ไฟฟ้าทางการแพทย์ส่วนที่ 1-11: ข้อกำหนดทั่วไปสำหรับความปลอดภัยขั้นพื้นฐานและประสิทธิภาพที่จำเป็น - มาตรฐานข้างเคียง: ข้อกำหนดสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าทางการแพทย์และระบบไฟฟ้าทางการแพทย์ที่ใช้ในสภาพแวดล้อมการดูแลสุขภาพที่บ้าน"
  • IEC 62311-2, “การประเมินอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับข้อจำกัด การสัมผัสกับมนุษย์สำหรับสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (0 Hz ถึง 300 GHz)”
  • IEC 62133-2, “เซลล์ทุติยภูมิและแบตเตอรี่ที่มีอัลคาไลน์หรืออิเล็กโทรไลต์ที่ไม่ใช่กรดอื่น ๆ - ข้อกำหนดด้านความปลอดภัยสำหรับเซลล์ลิเธียมทุติยภูมิแบบพกพาที่ปิดสนิทและสำหรับแบตเตอรี่ที่ทำจากเซลล์เหล่านี้เพื่อใช้ในการใช้งานแบบพกพา - ส่วนที่ 2: ระบบลิเธียม"

การระมัดระวังเกี่ยวกับการเลือกอุปกรณ์ป้องกันวงจรและวิธีใช้จะช่วยให้บรรลุข้อกำหนดด้านความปลอดภัยเหล่านี้ได้อย่างยาวนาน การใช้เทคนิคและส่วนประกอบที่เป็นที่ยอมรับและได้รับการอนุมัติสามารถเร่งกระบวนการอนุมัติได้เช่นกัน

สรุป

ข้อกำหนดเกี่ยวกับสถานที่ สาเหตุ และวิธีการในการใช้อุปกรณ์ป้องกันวงจรโดยทั่วไปและในทางการแพทย์โดยเฉพาะนั้นเป็นความท้าทายในการออกแบบที่ซับซ้อน มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมหลายอย่าง บางอย่างเฉพาะสำหรับฟังก์ชันวงจรที่กำหนด และอุปกรณ์อื่น ๆ สำหรับการใช้งานทั่วไป แต่ละอุปกรณ์จะมีคุณสมบัติเหมาะสมหรืออย่างน้อยก็ดีกว่าอุปกรณ์หนึ่งสำหรับวงจรต่าง ๆ และสำหรับระบบที่ต้องการการป้องกันดังกล่าว ไม่มีอุปกรณ์ชิ้นเดียวใด ๆ ที่จะตอบสนองความต้องการของระบบที่หลากหลายได้ ดังนั้นนักออกแบบจึงต้องใช้วิธีการป้องกันหลายวิธี

โดยมากแล้วการตัดสินใจมากมายเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จะใช้และวิธีที่ดีที่สุดในการดำเนินการนั้นมีความซับซ้อนและยังต้องได้รับการตรวจสอบตามกฎข้อบังคับอีกด้วย นักออกแบบควรพิจารณาขอความช่วยเหลือจากวิศวกรดูแลผลิตภัณฑ์ที่มีความรู้จากผู้จำหน่ายอุปกรณ์ป้องกันหรือซัพพลายเออร์ (ผู้จัดจำหน่าย) ที่ได้รับมอบหมาย ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของพวกเขาสามารถลดเวลาการนำสินค้าเข้าสู่ตลาด ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการออกแบบที่ละเอียดมากขึ้น และได้รับอนุมัติตามกฎระเบียบอย่างง่ายดาย

DigiKey logo

Disclaimer: The opinions, beliefs, and viewpoints expressed by the various authors and/or forum participants on this website do not necessarily reflect the opinions, beliefs, and viewpoints of DigiKey or official policies of DigiKey.

About this author

Image of Bill Schweber

Bill Schweber

Bill Schweber เป็นวิศวกรอิเล็กทรอนิกส์ที่เขียนตำราเกี่ยวกับระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์สามเล่ม รวมถึงบทความทางเทคนิค คอลัมน์ความคิดเห็น และคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์หลายร้อยฉบับ ในบทบาทที่ผ่านมาเขาทำงานเป็นผู้จัดการเว็บไซต์ด้านเทคนิคสำหรับไซต์เฉพาะหัวข้อต่าง ๆ สำหรับ EE Times รวมทั้งบรรณาธิการบริหารและบรรณาธิการอนาล็อกที่ EDN

ที่ Analog Devices, Inc. (ผู้จำหน่าย IC แบบอะนาล็อกและสัญญาณผสมชั้นนำ) Bill ทำงานด้านการสื่อสารการตลาด (ประชาสัมพันธ์) ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยู่ในทั้งสองด้านของฟังก์ชั่นประชาสัมพันธ์ด้านเทคนิคนำเสนอผลิตภัณฑ์เรื่องราวและข้อความของบริษัทไปยังสื่อและยังเป็นผู้รับสิ่งเหล่านี้ด้วย

ก่อนตำแหน่ง MarCom ที่ Analog Bill เคยเป็นบรรณาธิการของวารสารทางเทคนิคที่ได้รับการยอมรับและยังทำงานในกลุ่มวิศวกรรมด้านการตลาดผลิตภัณฑ์และแอปพลิเคชันอีกด้วย ก่อนหน้าที่จะมีบทบาทเหล่านั้น Bill อยู่ที่ Instron Corp. ซึ่งทำการออกแบบระบบอนาล็อกและวงจรไฟฟ้าและการรวมระบบสำหรับการควบคุมเครื่องทดสอบวัสดุ

เขาจบทางด้าน MSEE (Univ. of Mass) และ BSEE (Columbia Univ.) เป็นวิศวกรวิชาชีพที่ลงทะเบียนและมีใบอนุญาตวิทยุสมัครเล่นขั้นสูง Bill ยังได้วางแผนเขียนและนำเสนอหลักสูตรออนไลน์ในหัวข้อวิศวกรรมต่าง ๆ รวมถึงพื้นฐานของ MOSFET, การเลือก ADC และการขับไฟ LED

About this publisher

DigiKey's North American Editors