วิธีใช้แฮปติกเพื่อการรับรู้ที่ดีขึ้นในอินเตอร์เฟซสื่อสารกับผู้ใช้งาน
Contributed By DigiKey's North American Editors
2022-08-30
ความต้องการอินเตอร์เฟซสื่อสารกับผู้ใช้งาน (HMI) ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการรับรู้ที่ดีขึ้นกำลังผลักดันการนำแฮปติกมาใช้ในการใช้งาน Industry 4.0, อุตสาหกรรมยานยนต์, ระบบการแพทย์และการกู้ชีพเบื้องต้น, อุปกรณ์ Internet of Things (IoT), อุปกรณ์สวมใส่ และอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น อุปกรณ์แฮปติกสามารถให้การตอบสนองในระบบการฝึกอบรมทางการแพทย์และการฟื้นฟูผู้ป่วยด้วย VR (ความเป็นจริงเสมือน) หรือ AR (ความเป็นจริงเสริม) หรือสามารถให้การแจ้งเตือนขั้นสูงบนพวงมาลัยเพื่อแจ้งให้ผู้ขับขี่ทราบถึงสภาพที่อาจไม่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังใช้แฮปติกร่วมกับเทคโนโลยี HMI อื่น ๆ เช่น เสียง เพื่อให้อินเทอร์เฟซทางประสาทสัมผัสที่สมจริงและเสมือนจริงยิ่งขึ้น
ความท้าทายบางประการที่นักออกแบบต้องเผชิญเมื่อใช้ระบบแฮปติกคือการเลือกเทคโนโลยีแฮปติกที่ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นแบบมวลหมุนเยื่องศูนย์ (ERM) หรือตัวกระตุ้นเรโซแนนซ์เชิงเส้น (LRA) เพื่อรวมเข้ากับระบบอย่างเหมาะสมและได้ระดับการตอบสนองที่ต้องการ ขับเคลื่อนโซลูชัน และทำความเข้าใจวิธีการทดสอบการสั่นสะเทือน ประสิทธิภาพเสียง และความน่าเชื่อถือ
บทความนี้เริ่มต้นด้วยการทบทวนสั้น ๆ เกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการตอบสนองแบบแฮปติกได้ในการใช้งานแบบต่าง ๆ จากนั้นจะแนะนำตัวเลือกเทคโนโลยีแฮปติกพร้อมกับตัวอย่างอุปกรณ์แฮปติกจาก PUI Audio โดยจะกล่าวถึงวิธีการรวมอุปกรณ์แฮปติกเข้ากับระบบต่าง ๆ รวมถึงตัวอย่างไอซีไดรเวอร์แบบแฮปติก และปิดท้ายด้วยรายละเอียดวิธีการทดสอบการสั่นสะเทือนและประสิทธิภาพเสียง
อินเทอร์เฟซแบบพหุประสาท
มีการใช้แฮปติกร่วมกับการตอบสนองทางภาพและการได้ยินมากขึ้น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมแบบพหุประสาท และปรับปรุงการตอบโต้ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร อินเทอร์เฟซแบบแฮปติกอาจรวมถึงเสื้อผ้า ถุงมือ หน้าจอสัมผัส และวัตถุอื่น ๆ เช่น อุปกรณ์เคลื่อนที่และเมาส์คอมพิวเตอร์
การโต้ตอบแบบพหุประสาทมีประโยชน์อย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่องค์ประกอบของ HMI ที่ไม่ใช่ภาพ เช่น แฮปติกหรือเสียง สามารถทำให้ผู้ใช้สามารถจดจ่อกับงานในมือได้ เช่น การควบคุมเครื่องจักรหรือเครื่องมือผ่าตัดจากระยะไกล หรือการขับรถ การรวมแฮปติกเข้ากับ HMI ยังสนับสนุนการโต้ตอบแบบแมนนวลที่ได้รับการปรับปรุงกับสภาพแวดล้อมเสมือนหรือระบบระยะไกลที่ทำงานทางไกล เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการรวมระบบแฮปติกเข้ากับ HMI นักออกแบบจำเป็นต้องเข้าใจการแลกเปลี่ยนประสิทธิภาพของเทคโนโลยีแฮปติก
เทคโนโลยีอุปกรณ์แฮปติก
เทคโนโลยีแฮปติกที่พบบ่อยที่สุดคือ ERM และ LRA โดบ ERM ใช้มวลเยื้องศูนย์กลางบนเพลามอเตอร์เพื่อทำให้เกิดความไม่สมดุลและสร้างแรงสั่นสะเทือน อุปกรณ์ ERM นั้นขับเคลื่อนด้วยแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ที่ค่อนข้างเรียบง่าย ซึ่งการใช้พลังงาน DC ร่วมกับการออกแบบทางกลไกที่ค่อนข้างเรียบง่าย มีข้อเสียหลายประการ:
ข้อดี:
- ขับเคลื่อนง่าย
- ราคาถูก
- ฟอร์มแฟกเตอร์ที่ยืดหยุ่น
- การรวมระบบที่ง่ายขึ้นในบางการออกแบบ
ข้อเสีย:
- ใช้พลังงานสูง
- ตอบสนองช้า
- ขนาดโซลูชันที่ใหญ่ขึ้น
แทนที่จะใช้มวลเยื้องศูนย์เพื่อสร้างการสั่นแบบหลายแกน อุปกรณ์ LRA จะสั่นในการเคลื่อนที่เชิงเส้นโดยใช้ขดลวดเสียง แม่เหล็กทรงกลม และสปริง อุปกรณ์ LRA ต้องใช้ไดรฟ์ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เพื่อจ่ายไฟให้กับขดลวดเสียง AC สร้างสนามแม่เหล็กแปรผันในขดลวดเสียงที่ทำให้แม่เหล็กเคลื่อนที่ขึ้นและลง สปริงเชื่อมต่อแม่เหล็กเข้ากับตัวเครื่อง เพื่อถ่ายเทพลังงานสั่นสะเทือนไปยังระบบ เนื่องจากอุปกรณ์ LRA นั้นใช้ขดลวดเสียงและไม่พึ่งพาแปรงเหมือนที่ใช้ในอุปกรณ์ ERM อุปกรณ์ชนิดนี้จึงใช้พลังงานน้อยกว่าสำหรับแรงสั่นสะเทือนที่กำหนด การเบรกสามารถทำได้โดยการขับเคลื่อนอุปกรณ์ LRA ที่มีการเปลี่ยนเฟส 180° ซึ่งช่วยเร่งเวลาตอบสนอง
อุปกรณ์ LRA ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในย่านความถี่เรโซแนนซ์ที่ค่อนข้างแคบ (ปกติคือ ±2 ถึง ±5 เฮิรตซ์ (Hz)) ผลจากความคลาดเคลื่อนในการผลิต อายุของส่วนประกอบ สภาวะแวดล้อม และการติดตั้ง ทำให้ความถี่เรโซแนนซ์ที่แน่นอนของอุปกรณ์ LRA อาจแตกต่างกันไปและส่งผลให้การออกแบบวงจรไดรฟ์มีความซับซ้อน แฮปติกแบบ LRA ให้ข้อดีและข้อเสียแก่นักออกแบบที่แตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบกับอุปกรณ์ ERM:
ข้อดี:
- เวลาตอบสนองเร็วขึ้น
- ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
- อัตราเร่งเพิ่มขึ้น
- เบรกได้
- อาจมีขนาดเล็กลงได้
ข้อเสีย:
- ความถี่เรโซแนนท์อาจแตกต่างกันไป
- ขับเคลื่อนยาก
- ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
นอกจากความแตกต่างในการใช้งานแล้ว อุปกรณ์ ERM และ LRA ยังมีรูปแบบแพ็คเกจที่หลากหลายอีกด้วย อุปกรณ์ ERM สามารถอยู่ในแพ็คเกจแบบเหรียญหรือแท่ง ในขณะที่ LRA อยู่ในแพ็คเกจเหรียญ ปริซึม (สี่เหลี่ยม) หรือทรงกระบอก (รูปที่ 1) อุปกรณ์ ERM และ LRA แบบเหรียญมักจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8 มิลลิเมตร (มม.) และมีความหนาประมาณ 3 มม. อุปกรณ์แฮปติกแบบ ERM แบบแท่งมีขนาดใหญ่ขึ้นโดยมีความยาวประมาณ 12 มม. และกว้าง 4 มม.
 รูปที่ 1: ERM มีอยู่ในแพ็คเกจแท่งหรือเหรียญ ในขณะที่ LRA มาในรูปแบบเหรียญ ทรงกระบอก หรือปริซึม (แหล่งที่มารูปภาพ: PUI Audio)
รูปที่ 1: ERM มีอยู่ในแพ็คเกจแท่งหรือเหรียญ ในขณะที่ LRA มาในรูปแบบเหรียญ ทรงกระบอก หรือปริซึม (แหล่งที่มารูปภาพ: PUI Audio)
อุปกรณ์ ERM แบบเหรียญ
สำหรับการใช้งานในอุปกรณ์สวมใส่ที่สามารถใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ ERM แบบเหรียญ นักออกแบบสามารถใช้ HD-EM0803-LW20-R ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 มม. หนา 3 มม. จาก PUI Audio ข้อมูลจำเพาะสำหรับ HD-EM0803-LW20-R ประกอบด้วย:
- ความเร็วพิกัด 12,000 (±3,000) รอบต่อนาที (rpm)
- ความต้านทานของขั้วต่อ 38 โอห์ม (Ω) (±50%)
- แรงดันไฟฟ้าขาเข้า 3 Vdc
- กระแสไฟฟ้าปกติ 80 มิลลิแอมป์ (mA)
- ช่วงอุณหภูมิในการทำงาน -20 ถึง +60 องศาเซลเซียส (°C)
สำหรับอุปกรณ์ที่ต้องใช้งานในสภาพแวดล้อมที่การระบายความร้อนได้ไม่ดีนัก นักออกแบบสามารถหันไปใช้ HD-EM1003-LW15-R ที่มีอุณหภูมิทำงานตั้งแต่ -30°C ถึง +70°C มีพิกัดความเร็วและขนาดเท่ากับ HD-EM0803-LW20-R และมีความต้านทานของขั้วต่อที่ 46 Ω (±50%) โดยมีการใช้กระแสไฟที่ 85 mA อุปกรณ์ ERM แบบเหรียญทั้งสองนี้สามารถขับเคลื่อนด้วยแรงดัน DC บวกหรือลบสำหรับการเคลื่อนไหวตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา ประกอบด้วยสายไฟขนาด 20 มม. สำหรับการเชื่อมต่อทางไฟฟ้าที่ยืดหยุ่น และสร้างเสียงรบกวนรอบข้างสูงสุด 50 เดซิเบล (dBA)
ERM แบบแท่ง
HD-EM1206-SC-R มีความยาว 12.4 มม. กว้าง 3.8 มม. มีความเร็ว 12,000 (±3,000) รอบต่อนาที เมื่อขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ากระแสตรง 3 โวลต์ มีพิกัดอุณหภูมิทำงานตั้งแต่ -20 ถึง +60°C และเสียงรบกวนสูงสุดที่ 50 dBA การออกแบบที่ต้องการเสียงรบกวนในระดับต่ำสามารถใช้ HD-EM1204-SC-R (รูปที่ 2) ทำให้เกิดเสียงสูงสุดเพียง 45 dBA นอกจากนี้ยังมีพิกัดความเร็วที่สูงกว่า 13,000 (±3,000) รอบต่อนาที และช่วงอุณหภูมิการทำงานที่กว้างขึ้นตั้งแต่ -30°C ถึง +70°C เมื่อเทียบกับ HD-EM1206-SC-R อุปกรณ์ทั้งสองมีความต้านทานขั้วต่ำที่ 30 Ω (±20%) และกระแสไฟที่ 90 mA
 รูปที่ 2: HD-EM1204-SC-R ERM เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการระดับเสียงรบกวนต่ำ (แหล่งที่มารูปภาพ: PUI Audio)
 รูปที่ 2: HD-EM1204-SC-R ERM เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการระดับเสียงรบกวนต่ำ (แหล่งที่มารูปภาพ: PUI Audio)
อุปกรณ์ LRA
การออกแบบที่ต้องการเวลาตอบสนองเร็วขึ้น ประหยัดพลังงานมากขึ้น และการสั่นสะเทือนที่แรงขึ้นสามารถใช้ HD-LA0803-LW10-R อุปกรณ์ LRA ของ PUI Audio ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 มม. สูง 3.2 มม. (รูปที่ 3) อุปกรณ์ LRA มีความแม่นยำมากกว่าเมื่อเทียบกับระบบแฮปติกแบบ ERM ตัวอย่างเช่น ความต้านทานของอุปกรณ์ ERM มีค่าตั้งแต่ 30 (±20%) ถึง 46 Ω (±50%) ในขณะที่ความต้านทานของ HD-LA0803-LW10-R มค่าเท่ากับ 25 Ω (±15%) การใช้พลังงานของ HD-LA0803-LW10-R อยู่ที่ประมาณ 180 มิลลิวัตต์ (mW), (2 VRMS x 90 mA) ในขณะที่อุปกรณ์ ERM ที่กล่าวถึงข้างต้นใช้ไฟตั้งแต่ 240 ถึง 270 mW อุปกรณ์ LRA นี้มีช่วงอุณหภูมิทำงาน -20 ถึง +70°C
 รูปที่ 3: HD-LA0803-LW10-R LRA รวมการสั่นสะเทือนที่รุนแรง เวลาตอบสนองที่รวดเร็ว และประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน (แหล่งที่มารูปภาพ: PUI Audio)
รูปที่ 3: HD-LA0803-LW10-R LRA รวมการสั่นสะเทือนที่รุนแรง เวลาตอบสนองที่รวดเร็ว และประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน (แหล่งที่มารูปภาพ: PUI Audio)
การรวมระบบ
การใช้เทปกาวสองหน้าเป็นวิธีการประกอบที่แนะนำสำหรับอุปกรณ์แฮปติกแบบเหรียญ และให้การคัปปลิ้งกับระบบการสั่นสะเทือนที่ดีที่สุด อุปกรณ์เทปสองหน้าประกอบด้วยสายตะกั่วที่ต้องมีการเชื่อมต่อผ่านรูและการบัดกรีกับแผงวงจร อุปกรณ์แบบแท่ง ทรงกระบอก และแท่งปริซึมสามารถใช้ได้กับรูปแบบการรวมระบบที่แตกต่างกันสองแบบ: เทปสองหน้าและหน้าสัมผัสสปริง โดยใช้เทปสองหน้ากับอุปกรณ์ที่มีสายตะกั่วที่บัดกรีด้วยมือ เช่น อุปกรณ์แบบเหรียญ และใช้หน้าสัมผัสสปริงในการรวมฟังก์ชันของคัปปลิ้งแบบสั่นสะเทือนเข้ากับการเชื่อมต่อทางไฟฟ้า หน้าสัมผัสสปริงขจัดความจำเป็นในการบัดกรีด้วยมือ ทำให้การประกอบง่ายขึ้นและลดต้นทุน นอกจากนี้การใช้หน้าสัมผัสสปริงยังช่วยลดความยุ่งยากในการซ่อมแซม
การขับเคลื่อนอุปกรณ์แฮปติก
วงจรไดรฟ์แบบแยกสามารถใช้กับอุปกรณ์ LRA และ ERM แม้ว่าการใช้ไดรเวอร์ที่สร้างจากส่วนประกอบแบบแยกส่วนสามารถลดต้นทุนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการออกแบบที่ค่อนข้างเรียบง่าย แต่อาจส่งผลให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นและใช้เวลาในการออกสู่ตลาดช้าลง เมื่อเทียบกับไอซีไดรเวอร์ สำหรับการใช้งานที่ต้องการโซลูชันที่กะทัดรัดและมีประสิทธิภาพสูง นักออกแบบสามารถหันไปใช้ DRV2605L จาก Texas Instruments ซึ่ง DRV2605L เป็นระบบควบคุมแบบวงปิดที่สมบูรณ์สำหรับการตอบสนองแบบสัมผัสคุณภาพสูงที่สามารถขับเคลื่อนทั้งอุปกรณ์ ERM และ LRA (รูปที่ 4) DRV2605L รวมการเข้าถึงซอฟต์แวร์ TouchSense 2200 จาก Immersion พร้อมเอฟเฟกต์แฮปติกกรรมสิทธิ์มากกว่า 100 รายการ รวมถึงฟังก์ชันการแปลงเสียงเป็นการสั่นสะเทือน
 รูปที่ 4: ไอซี DRV2605L สามารถขับเคลื่อนอุปกรณ์แฮปติก LRA หรือ ERM ได้ (แหล่งที่มารูปภาพ: Texas Instruments)
 รูปที่ 4: ไอซี DRV2605L สามารถขับเคลื่อนอุปกรณ์แฮปติก LRA หรือ ERM ได้ (แหล่งที่มารูปภาพ: Texas Instruments)
การทดสอบการสั่นสะเทือน
เนื่องจากอุปกรณ์แฮปติกทำงานโดยอาศัยการสั่น จึงต้องสร้างขึ้นให้มีความทนทาน โดย PUI Audio ได้กำหนดจิ๊กทดสอบที่จะใช้สำหรับการทดสอบการสั่นสะเทือน ดังแสดงในรูปที่ 5 การทดสอบนี้ดำเนินการกับระบบทดสอบการสั่นสะเทือนแบบอิเล็กโทรไดนามิกระดับอุตสาหกรรม สามารถตั้งโปรแกรมสำหรับการทดสอบการสั่นสะเทือนเฉพาะเพื่อจำลองสภาวะต่างๆ เช่น การสั่นในรูปสัญญาณไซน์ การสั่นแบบสุ่ม และพัลส์การสั่นสะเทือนทางกล
 รูปที่ 5: จิ๊กทดสอบที่แนะนำสำหรับการทดสอบการสั่นสะเทือนของอุปกรณ์แฮปติก (แหล่งที่มารูปภาพ: PUI Audio)
 รูปที่ 5: จิ๊กทดสอบที่แนะนำสำหรับการทดสอบการสั่นสะเทือนของอุปกรณ์แฮปติก (แหล่งที่มารูปภาพ: PUI Audio)
PUI Audio มีการทดสอบการสั่นสะเทือนสามแบบสำหรับอุปกรณ์แฮปติก (ดูตารางที่ 1) หลังจากดำเนินการทดสอบแล้ว และอุปกรณ์ "พัก" เป็นเวลาสี่ชั่วโมง ซึ่งจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดพิกัดความเร็ว (สำหรับอุปกรณ์ ERM) หรือการเร่งความเร็ว (สำหรับอุปกรณ์ LRA) ตลอดจนความต้านทาน พิกัดกระแสไฟฟ้า และสัญญาณรบกวน
| 
 | 
ตารางที่ 1: ข้อกำหนดการทดสอบการสั่นสะเทือนสำหรับอุปกรณ์แฮปติก (แหล่งที่มาตาราง: PUI Audio)
นอกเหนือจากการทดสอบการสั่นสะเทือนแล้ว PUI Audio ยังได้กำหนดการทดสอบแรงกระแทกดังนี้:
- การเร่งความเร็ว: ครึ่งไซนูซอยด์ 500 g
- ระยะเวลา: 2 มิลลิวินาที (ms)
- ทดสอบ/ด้าน: 3 ครั้ง/6 ด้าย รวมแรงกระแทก 18 ครั้ง
เกณฑ์ผ่าน/ไม่ผ่านจะเหมือนกับการทดสอบการสั่นสะเทือน
การวัดเสียงรบกวน
ระดับของเสียงรบกวน (เชิงกล) ที่เกิดจากอุปกรณ์แฮปติกนั้นแตกต่างกันออกไป โดยวิธีการติดตั้งอุปกรณ์แฮปติกมีบทบาทสำคัญในการลดระดับเสียง PUI Audio แนะนำให้ใช้การตั้งค่าการทดสอบเฉพาะสำหรับการวัดเสียงจากอุปกรณ์แฮปติกที่แสดงในรูปที่ 6 ควรทำการทดสอบในห้องที่มีฉนวนป้องกันเสียงรบกวนรอบข้าง 23 dBA หากติดตั้งอุปกรณ์เข้ากับจิ๊ก 75 g ที่จะถูกติดตั้งในระบบ การทดสอบนี้ทำให้ผู้ออกแบบทราบถึงระดับเสียงที่ต้องการ
 รูปที่ 6: จิ๊กทดสอบที่แนะนำสำหรับการวัดเสียงของอุปกรณ์แฮปติก (แหล่งที่มารูปภาพ: PUI Audio)
 รูปที่ 6: จิ๊กทดสอบที่แนะนำสำหรับการวัดเสียงของอุปกรณ์แฮปติก (แหล่งที่มารูปภาพ: PUI Audio)
สรุป
ผู้ใช้สามารถใช้แฮปติกด้วยการให้การตอบสนองแบบสัมผัส เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของ HMI และช่วยสร้างสภาพแวดล้อมแบบพหุประสาทที่มีประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงการใช้แฮปติก นักออกแบบจำเป็นต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างเทคโนโลยี ERM และ LRA และวิธีการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงวิธีทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่ามีพิจารณาถึงระดับความเชื่อถือได้ของระบบและประสิทธิภาพของระบบ ดังที่แสดงไว้ อุปกรณ์แฮปติกพร้อมใช้งาน เช่นเดียวกับไดรเวอร์และขั้นตอนการทดสอบ
บทความแนะนำ
 
            
        Disclaimer: The opinions, beliefs, and viewpoints expressed by the various authors and/or forum participants on this website do not necessarily reflect the opinions, beliefs, and viewpoints of DigiKey or official policies of DigiKey.
 
                 
                 
                 
 
 
 
 การตั้งค่า
        การตั้งค่า
     จัดส่งที่รวดเร็ว
                                    จัดส่งที่รวดเร็ว
                                 จัดส่งฟรี
                                     จัดส่งฟรี
                                 Incoterms
                                    Incoterms
                                 ประเภทการชำระเงิน
                                    ประเภทการชำระเงิน
                                





 ผลิตภัณฑ์ตลาดออนไลน์
                                    ผลิตภัณฑ์ตลาดออนไลน์
                                 
            






 
                 
                     
                                 
                                 
                         
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 ไทย
ไทย