วิธีทำให้ตัวกระตุ้นการทำงานในโรงงานอัจฉริยะมีประสิทธิผลมากขึ้นโดยใช้ IO-Link

By Jeff Shepard

Contributed By DigiKey's North American Editors

การพัฒนาไปสู่ Industry 4.0 หรือ Internet of Things สำหรับอุตสาหกรรม (IIoT) ยังคงดำเนินต่อไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ผลผลิต และต้นทุนโดยรวมที่ลดลง องค์ประกอบสำคัญของความพยายามนี้คือการเชื่อมต่ออุปกรณ์ สิ่งนี้อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเนื่องจากต้องมีการเลือกมาตรฐานการสื่อสารที่เหมาะสมและการออกแบบอินเทอร์เฟซและซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทั้งหมดนี้อาจทำให้การพัฒนาให้เป็นโรงงานอัจฉริยะช้าลง

ผู้ออกแบบระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมต้องการแนวทางที่เป็นมาตรฐาน เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพ และเป็นหน่วยแยกประกอบมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการปรับใช้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่า

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว พวกเขาสามารถใช้ IO-Link ซึ่งเป็นอินเทอร์เฟซที่ได้รับการพิสูจน์แล้วสำหรับการใช้งานในโรงงานอัจฉริยะ IO-Link เป็นอินเทอร์เฟซการสื่อสารดิจิตอลแบบซิลเกิลดร็อป (SDCI) แบบสองทิศทางและจุดต่อจุด ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรฐานต่าง ๆ รวมถึง IEC 61131-2, IEC 61131-9 (SDCI) และ IO-Link 1.1.3

บทความนี้จะกล่าวถึงการเปลี่ยนไปสู่โรงงานอัจฉริยะและความท้าทายของนักออกแบบโดยสังเขป จากนั้นจะแสดงภาพรวมของการทำงานของ IO-Link และวิธีการลดความซับซ้อนในการปรับใช้โรงงานอัจฉริยะ โดยนำเสนอตัวอย่างของอุปกรณ์ IO-Link จาก Analog Devices รวมถึงอุปกรณ์สเลฟที่สามารถใช้เพื่อแทนที่ตัวกระตุ้นการทำงาน (Actuator) แบบนิวเมติกและให้ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น อุปกรณ์สเลฟที่มีตัวแปลง DC/DC ในตัว และอุปกรณ์มาสเตอร์ รวมถึงการออกแบบอ้างอิงเพื่อให้ใช้งานตัวกระตุ้นการทำงานอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วด้วย IO-Link

ทำให้การพัฒนาไปสู่โรงงานอัจฉริยะนั้นง่ายขึ้น

การพัฒนาไปสู่โรงงานอัจฉริยะเพิ่มความต้องการในการเพิ่มความอัจฉริยะที่เอดจ์อย่างง่ายสำหรับการทดสอบระบบ การตรวจสอบ และการกำหนดค่าเซ็นเซอร์และตัวกระตุ้นการทำงานใหม่ ความสามารถในการติดตั้งที่เรียบง่ายและความสามารถในการสื่อสารแบบสองทิศทางของ IO-Link รองรับการปรับใช้เอดจ์อัจฉริยะ ข้อดีหนึ่งของ IO-Link คือการลดเวลาการติดตั้งและการทดสอบระบบลง 90 เปอร์เซ็นต์

ในทางปฏิบัติ สามารถดาวน์โหลดการตั้งค่าพารามิเตอร์ผ่าน IO-Link เพื่อตั้งค่าหรือกำหนดค่าอุปกรณ์ใหม่ ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการดำเนินการจากช่างเทคนิค และลดเวลาหยุดทำงาน ความสามารถในการวินิจฉัยอัจฉริยะ การตรวจจับข้อผิดพลาด และการบันทึกข้อมูลของ IO-Link สามารถใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลการดำเนินงานตามเวลาจริงทั่วพื้นที่ทำงาน ช่วยลดเวลาหยุดทำงานเพิ่มเติม

สถาปัตยกรรมของระบบ IO-Link ประกอบด้วยการเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดระหว่างมาสเตอร์ IO-Link และอุปกรณ์ IO-Link ต่างๆ การใช้คอนเนคเตอร์มาตรฐาน M8 หรือ M12 และสายเคเบิล 3 หรือ 4 สายยาว 20 เมตร (ม.) ช่วยให้การติดตั้งระบบง่ายขึ้น อุปกรณ์มาสเตอร์ IO-Link มักจะมี 4 หรือ 8 พอร์ต แต่ละพอร์ตเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IO-Link โดยที่แต่ละพอร์ตสามารถทำงานในโหมดอินพุต/เอาต์พุตมาตรฐาน (SIO) หรือในโหมดการสื่อสารแบบสองทิศทาง เนื่องจากเป็นสถาปัตยกรรมแบบจุดต่อจุด IO-Link จึงไม่ใช่ฟิลด์บัส แต่เข้ากันได้กับฟิลด์บัสและอีเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม และสามารถเชื่อมต่อกับตัวควบคุมลอจิกที่ตั้งโปรแกรมได้ (PLC) และอินเทอร์เฟซระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (HMI) ( รูปที่ 1)

แผนภาพของ IO-Link เข้ากันได้กับฟิลด์บัสและเครือข่ายอีเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม IEEE รูปที่ 1: IO-Link เข้ากันได้กับฟิลด์บัสและเครือข่ายอีเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม IEEE (แหล่งที่มาภาพ: IO-Link Community)

นอกจากการทำงานในโหมด SDCI แล้ว IO-Link ยังให้ความเข้ากันได้แบบย้อนกลับกับมาตรฐาน IEC 60974-5-2 สำหรับเซ็นเซอร์ไบนารี การสื่อสารแบบจุดต่อจุดพื้นฐานใช้อินเทอร์เฟซ 3 สาย (L+, C/Q และ L-) ในโหมด IO-Link การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์มาสเตอร์และอุปกรณ์สเลฟนั้นเป็นแบบสองทิศทางโดยมีอัตราการส่งที่เป็นไปได้สามแบบคือ COM1 ที่ 4.8 กิโลบิตต่อวินาที (kbps), COM2 ที่ 38.4 kbps และ COM3 ที่ 230.4 kbps (รูปที่ 2) IO-Link มาสเตอร์ต้องรองรับอัตราข้อมูลทั้งสามแบบ จึงสามารถสื่อสารกับอุปกรณ์สเลฟที่เชื่อมต่ออยู่ได้ อุปกรณ์สเลฟรองรับอัตราข้อมูลเดียวเท่านั้น ซึ่งการสื่อสารนั้นเป็นการใช้พัลส์ 24 โวลต์โดยใช้การเข้ารหัสแบบ Non-Return to Zero (NRZ) บนสาย C/Q โดยในโหมด IO-Link พิน 2 อาจอยู่ในโหมดอินพุตดิจิทัล (DI) โหมดเอาต์พุตดิจิทัล (DO) หรือไม่ได้เชื่อมต่อก็ได้ อุปกรณ์ IO-Link (เซ็นเซอร์หรือตัวกระตุ้นการทำงาน) ต้องทำงานภายใน 300 มิลลิวินาที (ms) หลังจาก L+ เกินขีดจำกัด 18 โวลต์

แผนภาพของการสื่อสาร IO-Link เป็นแบบสองทิศทางรูปที่ 2: การสื่อสาร IO-Link เป็นแบบสองทิศทางและสามารถรองรับ 4.8, 38.4 และ 230.4 kbps (แหล่งที่มาภาพ: )

คำอธิบายอุปกรณ์ IO-Link

เซ็นเซอร์และตัวกระตุ้นการทำงาน IO-Link ทั้งหมดมีไฟล์คำอธิบายอุปกรณ์ IO-Link (IO-Link Device Description, IODD) (รูปที่ 3) โดยที่ IODD เป็นไฟล์ xml ที่ให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ IO-Link มาสเตอร์ในการระบุและกำหนดค่าอุปกรณ์และแปลข้อมูล

  • เนื้อหาของ IODD ได้แก่
    • คุณสมบัติที่จำเป็นเพื่อรองรับการสื่อสาร
    • พารามิเตอร์ของอุปกรณ์
    • ข้อมูลประจำอุปกรณ์
    • ข้อมูลกระบวนการและการวินิจฉัย
    • รูปภาพของอุปกรณ์และโลโก้ของผู้ผลิต
  • โครงสร้างของ IODD มีโครงร่างแยกต่างหากจาก IEC 61131-9
  • ฐานข้อมูลส่วนกลางสำหรับไฟล์ IODD ได้รับการดูแลโดย IO-Link Consortium

แผนภาพของ IODD เป็นไฟล์ xml ที่มีข้อมูลที่จำเป็นโดยต้นแบบ IO-Link รูปที่ 3: IODD เป็นไฟล์ xml ที่รวมข้อมูลที่ IO-Link มาสเตอร์ต้องการ เพื่อระบุ กำหนดค่า และสื่อสารกับอุปกรณ์สเลฟแต่ละอุปกรณ์ (แหล่งที่มาภาพ: Analog Devices)

การเชื่อมโยงข้อมูลและประเภทข้อมูล

การแลกเปลี่ยนข้อความระหว่าง IO-Link มาสเตอร์และอุปกรณ์ได้จัดการโดยเลเยอร์เชื่อมโยงข้อมูล (DL) ข้อความคือเฟรมที่มีความยาวระหว่าง 1 ถึง 66 คำของ Universal Asynchronous Receiver Transmitter (UART) และเรียกว่า 'M Sequences' ข้อความอาจเกี่ยวข้องกับข้อมูลตามคำขอ คำขอและคำสั่งการจัดการระบบ และข้อมูลกระบวนการปกติ มาสเตอร์จะมีตัวจัดการ DL ที่ดูแลข้อผิดพลาดและข้อความแสดงข้อผิดพลาด และจัดการโหมดการทำงาน เช่น การปลุก, SIO และอัตรา COM เป็นต้น เมื่อมาสเตอร์ส่งคำขอ อุปกรณ์จำเป็นต้องตอบสนอง

การสื่อสาร IO-Link สามารถเป็นได้ทั้งแบบซิงโครนัสหรืออะซิงโครนัส IO-Link มาสเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงตัวจัดการข้อมูลกระบวนการสำหรับการสื่อสารแบบซิงโครนัส และตัวจัดการตามคำขอสำหรับการสื่อสารแบบอะซิงโครนัสของข้อมูลเหตุการณ์ การควบคุม พารามิเตอร์ และหน่วยข้อมูลบริการดัชนี (ISDU) ข้อมูลแบบอะซิงโครนัสตามคำขอและสามารถมีดังต่อไปนี้:

  • ข้อมูลการกำหนดค่าหรือการบำรุงรักษาและการควบคุม
  • เหตุการณ์ที่มีการกระตุ้นด้วยความเร่งด่วนสามระดับ:
    • ข้อผิดพลาด
    • คำเตือน
    • การแจ้งเตือน
  • ข้อมูลหน้าเพื่ออ่านพารามิเตอร์อุปกรณ์โดยตรง
  • ข้อมูลบริการสำหรับโครงสร้างข้อมูลขนาดใหญ่

การรวม IO-Link เข้ากับมาสเตอร์และอุปกรณ์อาจมีความซับซ้อน จึงจำเป็นต้องใช้มาตรฐานอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์สามารถทำงานร่วมกันและมีการทำงานของระบบที่เชื่อถือได้ ในการรวมการสื่อสาร IO-Link ที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้เข้ากับตัวกระตุ้นการทำงานของโรงงานอัจฉริยะอย่างรวดเร็ว นักออกแบบสามารถใช้โซลูชันที่ออกแบบไว้ล่วงหน้าสำหรับมาสเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ไอซีคอนโทรลเลอร์ของอุปกรณ์ IO-Link มีไดรเวอร์ที่ใช้พลังงานต่ำเป็นพิเศษพร้อมการป้องกันการกลับขั้ว และมีให้เลือกทั้งแบบมีและไม่มีตัวแปลง DC/DC ในตัว นอกจากนี้ยังมีอินเทอร์เฟซอุปกรณ์ต่อพ่วงแบบอนุกรม (SPI) ที่รองรับการวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยไอซีตัวรับส่งสัญญาณหลัก IO-Link แบบสองช่อสัญญาณนั้นรองรับการทำงานที่ใช้พลังงานต่ำ และทำให้การเลือกไมโครคอนโทรลเลอร์ (MCU) ง่ายขึ้นโดยรวมตัวจัดการเฟรมเข้ากับ UART และความสามารถแบบเข้าก่อนออกก่อน (FIFO)

การทดแทนตัวกระตุ้นการทำงานเป็นแบบนิวแมติกด้วย IO-Link

IO-Link นำเสนอวิธีง่ายๆ ในการทดแทนแนวทางดั้งเดิมในการควบคุมกระบวนการและปรับปรุงการดำเนินงานของโรงงานโดยใช้ตัวกระตุ้นการทำงานแบบเซอร์โวไดรฟ์และการควบคุมแบบดิจิทัลที่ซับซ้อนแทนแบบนิวแมติก ตัวอย่างเช่น นักออกแบบสามารถใช้การออกแบบอ้างอิงที่ใช้เซอร์โวไดรฟ์ IO-Link MAXREFDES37# เพื่อเร่งเวลาออกสู่ตลาด (รูปที่ 4) การออกแบบอ้างอิงนี้ให้กำลังไฟ 5 โวลต์และมีเอาต์พุตพัลส์ไวด์มอดูเลต (PWM) สี่เอาต์พุต พร้อมอินพุตดิจิทัลสี่อินพุตเพื่อควบคุมเซอร์โวมอเตอร์สูงสุดสี่ตัว

บอร์ดนี้มีคอนเนคเตอร์ M12-4 สำหรับเชื่อมต่อกับมาสเตอร์ IO-Link โดยเฮดเดอร์ 3 พินรองรับการเชื่อมต่อด่วนกับเซอร์โวมอเตอร์มาตรฐาน 5 โวลต์ ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมอยู่ในการออกแบบอ้างอิงพื้นฐาน การเชื่อมต่อกับอินพุตดิจิตอล 5 โวลต์ กราวด์ไฟฟ้า และช่องสัญญาณ PWM ทั้งสี่ช่องทำได้โดยใช้แผงขั้วต่อแบบเสียบสาย พร้อมด้วยชุดอุปกรณ์ IO-Link ของ Technologie Management Gruppe Technologie und Engineering (TMG TE) ซึ่ง MAXREFDES37# สามารถใช้ร่วมกับ MAXREFDES277 มาสเตอร์ IO-Link สองช่องสัญญาณในฟอร์มแฟกเตอร์ Pmod ที่มีโปรแกรมอินเทอร์เฟซผู้ใช้แบบกราฟิก (GUI) เพื่อการตรวจสอบที่ง่ายดายโดยใช้ Windows PC

รูปภาพของการออกแบบอ้างอิงเซอร์โวไดรฟ์ IO-Link MAXREFDES37# ของ Analog Devices รูปที่ 4: MAXREFDES37# มีขั้วต่อ M12 (ซ้าย) สำหรับเชื่อมต่อกับมาสเตอร์ IO-Link และมาพร้อมกับเซอร์โวมอเตอร์ (ขวา) (แหล่งที่มาภาพ: Analog Devices)

MAXREFDES37# รวมเอาไอซีรับส่งสัญญาณ IO-Link MAX14821ETG+T และไอซี DC/DC บัคเรกูเลเตอร์ MAX17504ATP+T โดยตัวรับส่งสัญญาณ MAX14821ETG+T สามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ IO-Link และเซ็นเซอร์ไบนารี 24 โวลต์หรือตัวกระตุ้นการทำงาน ซึ่งรองรับอัตราข้อมูล IO-Link ที่ระบุทั้งหมด และไดรเวอร์ C/Q และ DO สามารถเป็นตัวรับหรือตัวจ่ายไฟฟ้าได้สูงสุด 100 มิลลิแอมป์ (mA) ตัวรับส่งสัญญาณเรียกใช้โปรโตคอลเลเยอร์ DL สำหรับการเชื่อมต่อกับหน่วยไมโครคอนโทรลเลอร์ (MCU) ตัวควบคุมเชิงเส้นภายในสองตัวให้กระแสไฟตรง (VDC) 5 และ 3.3 โวลต์ไปยังเซ็นเซอร์กำลังไฟฟ้าและตัวกระตุ้นการทำงาน นอกจากนี้ยังมีอินพุตและเอาต์พุตดิจิทัล 24 โวลต์รวมอยู่ด้วย ไดรเวอร์ DO และ C/Q ในตัวสามารถกำหนดค่าแยกกันสำหรับการทำงานแบบพุชพูล ด้านต่ำ (NPN) หรือด้านสูง (PNP) ตัวรับส่งสัญญาณสามารถกำหนดค่าและตรวจสอบผ่าน SPI

ตัวแปลง DC/DC แบบสเตปดาวน์เรียงกระแสแบบซิงโครนัสแบบออนบอร์ด MAX17504 ทำงานในช่วงอินพุต 4.5 ถึง 60 VDC โดยมีช่วงแรงดันเอาต์พุตตั้งแต่ 0.9 โวลต์ถึง 90% ของแรงดันอินพุต และจ่ายกระแสไฟได้สูงสุด 3.5 แอมแปร์ (A) มีความแม่นยำในการควบคุมคือ ±1.1% จาก -40 ถึง +125 องศาเซลเซียส (°C) มีประสิทธิภาพสูงสุด >90% และกระแสไฟฟ้าขณะปิดเครื่องอยู่ที่ 2.8 ไมโครแอมแปร์ (μA)

ตัวรับส่งสัญญาณสำหรับมาสเตอร์หรืออุปกรณ์ที่มี DC/DC ในตัว

สำหรับนักออกแบบของ IO-Link มาสเตอร์และอุปกรณ์มี MAX22514 ซึ่งการผสานรวมในระดับสูงที่รวมบัคเรกูเลเตอร์ DC/DC, ตัวควบคุมเชิงเส้นสองตัว และการป้องกันไฟกระชากในตัว รวมถึงการกระจายพลังงานต่ำและตัวเลือกแพคเกจ Wafer Level Package (WLP) (2.5 มม. (มม.) x 2.6 มม.) หรือแพคเกจ Quad Flat Pack (TQFN) แบบบาง (4 มม. x 5 มม.) ทำให้ตัวรับส่งสัญญาณนี้เหมาะสมอย่างยิ่งกับการใช้งาน IO-Link อุตสาหกรรมที่มีพื้นที่จำกัด (รูปที่ 5)

ตัวอย่างเช่น หมายเลขชิ้นส่วน MAX22514AWA+ อยู่ใน WLP SPI รองรับการกำหนดค่าและการวินิจฉัย และยังรองรับอัตราข้อมูล COM1, COM2 และ COM3

แผนภาพของ Analog Devices MAX22514 แบบอนาล็อกมีการผสานรวมขั้นสูง รูปที่ 5: ตัวรับส่งสัญญาณ MAX22514 มีการผสานรวมขั้นสูงและเหมาะสำหรับใช้ในอุปกรณ์มาสเตอร์ IO-Link และอุปกรณ์ต่าง ๆ (แหล่งที่มาภาพ: Analog Devices)

เพื่อลดเวลาในการพัฒนา นักออกแบบสามารถใช้การออกแบบอ้างอิง เช่น MAXREFDES278# ซึ่งเป็นการออกแบบอ้างอิงตัวกระตุ้นการทำงานแบบโซลินอยด์ 8 แชนเนลที่ใช้ตัวรับส่งสัญญาณ IO-Link MAX22514 ที่มีMAX22200 ซึ่งเป็นไดรเวอร์โซลินอยด์ 1 แอมแปร์ที่ควบคุมด้วยอนุกรมแปดตัวในตัวพร้อมทรานซิสเตอร์เอฟเฟกต์สนาม (FET) โดยการออกแบบอ้างอิงประกอบด้วยบัคเรกูเลเตอร์ DC/DC ในตัว และมีซอฟต์แวร์ที่เข้ากันได้กับ Windows ซึ่งมีส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ (GUI) สำหรับการสำรวจคุณสมบัติของ MAX22514 ใช้สาย USB-A to micro-B ในการเชื่อมต่อบอร์ดประเมินผลกับพีซี

มาสเตอร์แบบสองช่องสัญญาณ

เมื่อจำเป็นต้องใช้ต้นแบบ IO-Link แบบสองช่องสัญญาณ นักออกแบบสามารถหันไปใช้ตัวรับส่งสัญญาณ MAX14819ATM+ ซึ่งมีช่องอินพุตดิจิตอลเสริมสองช่อง เฟรมเมอร์ IO-Link ในตัวจะช่วยลดความจำเป็นในการใช้ UART ภายนอก และตัวจับเวลาวงจรในตัวจะช่วยลดภาระของ MCU จากความจำเป็นในการจัดการงานที่เวลามีความสำคัญ ตัวรับส่งสัญญาณนี้สามารถใช้ร่วมกับตัวแยกสัญญาณดิจิตอล MAX14931FAWE+ และMAX12930EASA+T MAX14931FAWE+ มีสี่ช่องสำหรับการส่งสัญญาณดิจิตอลในทิศทางเดียว MAX12930EASA+T มีสองช่องสัญญาณสำหรับการถ่ายโอนข้อมูล ชุดประเมินผล MAX14819EVKIT# มีให้สำหรับ MAX14819A และรวมตัวแยกสัญญาณดิจิตอล MAX14931 และ MAX12930 (รูปที่ 6)

แผนภาพของชุดประเมินผลมาสเตอร์IO-Link แบบสองช่องสัญญาณ MAX14819EVKIT# ของ Analog Devices (คลิกเพื่อดูภาพขยาย)รูปที่ 6: ชุดประเมินผลมาสเตอร์IO-Link แบบสองช่องสัญญาณ MAX14819EVKIT# ประกอบด้วยตัวรับส่งสัญญาณ MAX14819 และตัวแยกสัญญาณดิจิทัล MAX12930 และ MAX14931 (แหล่งที่มาภาพ: Analog Devices)

สรุป

เพื่อใช้ประโยชน์จาก IIoT และ Industry 4.0 จำเป็นต้องติดตั้งเซ็นเซอร์และทรานสดิวเซอร์อย่างรวดเร็วและคุ้มค่า ด้วยเหตุนี้ IO-Link จึงจัดหาแนวทางที่เป็นมาตรฐาน เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพ และเป็นหน่วยแยกประกอบให้กับผู้ออกแบบระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม ดังที่แสดงไว้ข้างต้น นักออกแบบสามารถใช้ IO-Link เพื่อเพิ่มความอัจฉริยะที่เอดจ์สำหรับการทดสอบการใช้งาน การตรวจสอบ และการกำหนดค่าเซ็นเซอร์และตัวกระตุ้นการทำงานใหม่โดยใช้ส่วนประกอบที่มีอยู่ทั่วไปตามที่ปรากฏ

บทความที่แนะนำ

  1. วิธีการออกแบบเครือข่ายโมดูลาร์โอเวอร์เลย์สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลข้อมูล Industry 4.0 ใน IIoT
DigiKey logo

Disclaimer: The opinions, beliefs, and viewpoints expressed by the various authors and/or forum participants on this website do not necessarily reflect the opinions, beliefs, and viewpoints of DigiKey or official policies of DigiKey.

About this author

Image of Jeff Shepard

Jeff Shepard

Jeff เขียนเกี่ยวกับเรื่องอิเล็กทรอนิกส์กำลัง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และหัวข้อทางด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ มามากกว่า 30 ปีแล้ว เขาเริ่มเขียนเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์กำลังในตำแหน่งบรรณาธิการอาวุโสที่ EETimes ต่อมาเขาได้ก่อตั้ง Powertechniques ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับการออกแบบอิเล็กทรอนิกส์กำลังและก่อตั้ง Darnell Group ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและเผยแพร่ด้านอิเล็กทรอนิกส์กำลังระดับโลกในเวลาต่อมา ในบรรดากิจกรรมต่างๆ Darnell Group ได้เผยแพร่ PowerPulse.net ซึ่งให้ข่าวประจำวันสำหรับชุมชนวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์กำลังทั่วโลก เขาเป็นผู้เขียนหนังสือข้อความแหล่งจ่ายไฟสลับโหมดชื่อ "Power Supplies" ซึ่งจัดพิมพ์โดยแผนก Reston ของ Prentice Hall

นอกจากนี้ Jeff ยังร่วมก่อตั้ง Jeta Power Systems ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์จ่ายไฟแบบสวิตชิ่งกำลังวัตต์สูงซึ่งได้มาจากผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ Jeff ยังเป็นนักประดิษฐ์โดยมีชื่อของเขาอยู่ในสิทธิบัตร 17 ฉบับของสหรัฐอเมริกาในด้านการเก็บเกี่ยวพลังงานความร้อนและวัสดุที่ใช้ในเชิงแสงและเป็นแหล่งอุตสาหกรรม และบ่อยครั้งเขายังเป็นนักพูดเกี่ยวกับแนวโน้มระดับโลกในด้านอิเล็กทรอนิกส์กำลัง เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิธีการเชิงปริมาณและคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

About this publisher

DigiKey's North American Editors